ด้วยบทบาทและอิทธิพลของประเทศไทยในอุตสาหกรรมแฟชั่นระดับโลกที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในเชิงพาณิชย์ แบรนดิ้ง และการตลาด หลายแบรนด์ชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลกก็ได้ปักหมุดหมายมาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาเปิดร้านแรกของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่คนเฝ้ารอมากที่สุดตั้งแต่มีการประกาศข่าวก็หนีไม่พ้น Acne Studios แบรนด์สัญชาติสวีเดนที่ถูกริเริ่มมาในปี 1996 โดย Jonny Johansson จากการเป็น Creative Collective ในชื่อ Ambition to Create Novel ก่อนที่หนึ่งปีต่อมา เขาก็ได้มีโปรเจกต์รังสรรค์กางเกงยีนส์ขึ้นมา 100 ตัวกับชื่อตัวย่อ Acne และส่งให้เพื่อนทั่วกรุงสตอกโฮล์ม กางเกงยีนส์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากจนแบรนด์ Acne Studios ก็ได้เกิดขึ้นมาและเติบโตอย่างมั่นคงจนถึงทุกวันนี้ในรูปแบรนด์อิสระที่ไม่ได้อยู่ภายใต้เครือยักษ์ใหญ่
ล่าสุด หนึ่งวันก่อนที่ Acne Studios จะเปิดสาขาแรกในไทยอย่างเป็นทางการ ณ ชั้น 1 ห้าง Siam Paragon ทาง THE STANDARD POP ก็ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยแบบเป็นกันเองกับ Mattias Magnusson ซีอีโอของแบรนด์ ที่ได้เริ่มทำงานในแบรนด์ในฐานะเด็กฝึกงานจนไต่ระดับขึ้นมา ซึ่ง Mattias Magnusson ไม่เพียงได้เล่าเหตุผลถึงการเข้ามาตลาดไทยของ Acne Studios แต่เขายังได้สะท้อนหลากหลายแง่มุมในด้านการสร้างแบรนด์แฟชั่นในยุคสมัยนี้ที่ต่างมีเหตุและผล พร้อมเป็นแนวคิดให้คนสามารถนำไปปรับใช้ในบริบทของธุรกิจตัวเอง ไม่ว่าจะแฟชั่นหรืออุตสาหกรรมอื่นๆ

Mattias Magnusson ซีอีโอ Acne Studios
อยากให้คุณเล่าความทรงจำแรกกับแบรนด์ Acne Studios
ความทรงจำแรกของผมกับแบรนด์ จำได้ว่าซื้อสินค้าของ Acne Studios มาตั้งแต่วัยรุ่นแล้วครับ แล้วก็ติดตามแบรนด์อยู่เรื่อยๆ แต่ความทรงจำลึกๆ เลยคือวันที่ผมมาสัมภาษณ์งาน ตอนนั้นสมัครตำแหน่งผู้ช่วย CEO ซึ่งก่อนมาสัมภาษณ์ผมก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า ที่นี่ใช่ที่ของผมหรือเปล่านะ แต่พอเดินเข้ามาในออฟฟิศ ก็รู้สึกได้ถึงพลังในตัวเอง พลังที่สดใหม่ไฟแรง เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เดินไปตรงไหนก็เห็นผลงานวางอยู่เต็มไปหมด รอบตัวก็มีแต่คนเก่งๆ เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ แล้วตอนเดินออกมา ผมรู้สึกเลยว่า “นี่แหละคือที่ของเรา” …แต่สุดท้ายก็ไม่ได้งานนั้นครับ (หัวเราะ)
ผมเลยโทรกลับไปหา HR อีกครั้ง บอกตรงๆ เลยว่า “ผมว่าผมเหมาะกับงานนี้นะ” เขาก็บอกว่า “นายดูเป็นคนฉลาดดีนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่างานนี้จะใช่สำหรับนายหรือเปล่า” ผมก็พยายามอยู่หลายรอบเลยครับ แต่จุดอ่อนผมคือผมขายของไม่เก่ง (หัวเราะ) จนสุดท้ายผมพูดไปว่า “ถ้างั้นผมทำงานให้ฟรีเลยก็ได้” เขาก็ถามกลับว่า “โอ้ ทำงานฟรีได้เหรอ งั้นเริ่มพรุ่งนี้เลยไหม?” ผมก็บอก “ได้เลยครับ เริ่มพรุ่งนี้!” นี่คือความทรงจำแรกของผมกับ Acne Studios ครับ เป็นเรื่องที่โชคดีมากจริงๆ ตอนนั้นในออฟฟิศมีแค่ประมาณ 15 คนเองครับ เราทำทุกอย่างไปด้วยกัน ช่วยกันเรียนรู้และหาทางออกไปด้วยกัน บรรยากาศตอนนั้นมันเต็มไปด้วยพลัง รู้สึกได้เลยว่าแบรนด์เรากำลังจะไปไกลมาก และผมดีใจที่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่เริ่มครับ

สำนักงานใหญ่ Acne Studios ที่ สตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน
มาวันนี้คุณเลื่อนขั้นมาเป็น CEO ของ Acne Studios แล้ว ทำไมคุณเลือกที่อยู่ที่แบรนด์นี้มายาวนาน และไม่เปลี่ยนไปอยู่ที่อื่น?
สำหรับผม Acne Studios เหมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 ไปแล้ว เราอยู่กันอย่างอบอุ่นมากๆ จนไม่เคยรู้สึกอยากมองหาที่อื่นเลย ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ มันก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้รู้สึกอยากย้อนวันวานในอดีตอะไรขนาดนั้น ผมเป็น CEO มา 15 ปีแล้ว แต่ละปีก็มีเรื่องท้าทายใหม่ๆ ได้ไปสถานที่ใหม่ๆ ได้พบปะคนใหม่ๆ ได้เรียนรู้ใหม่ๆ ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เดินทางรอบโลก ได้เจอคนเก่งๆ และได้ทำงานร่วมกับทีมที่มากความสามารถในออฟฟิศของเรา นับว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า จนผมไม่เคยรู้สึกต้องมองหาที่อื่นในชีวิต
ช่วงแรกๆ คุณบอกว่ามีพนักงานประมาณ 15 คน แล้วตอนนี้บริษัทมีพนักงานกี่คนแล้ว?
ตอนนี้เรามีพนักงานประมาณพันกว่าคนครับ
แล้วหน้าร้านมีกี่สาขาตอนนี้?
ตอนนี้มีประมาณ 75 สาขาครับ
75 สาขาเป็นของแบรนด์เองทั้งหมดเลยใช่ไหมครับ แล้วมีช่องทางอื่นอีกไหม
ใช่ครับ นอกจากร้านของเราเองก็ยังมีช่องทางขายแบบ Wholesale (ขายส่ง) ด้วยครับ

ร้าน Acne Studios ที่ Siam Paragon
ทำไม Acne Studios คิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะมาเปิดร้านที่กรุงเทพฯ?
พวกเราก็คิดกันนานอยู่พอสมควรเลยครับ เป็นความฝันของพวกเราที่อยากจะมาเปิดร้านที่นี่ แค่รอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น พวกเราวางแผนกันเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว คิดกันเยอะมากว่าจะไปเปิดร้านกันที่ห้างไหนดี แต่ Siam Paragon เป็นที่ที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก เพราะเป็นห้างที่มีเอกลักษณ์และมีความโดดเด่นของตัวเอง ตัวผมเองก็มาเมืองไทยราวๆ 30 ปีแล้ว ช่วง 20 ปีหลัง เวลามากรุงเทพฯ ทีไร ก็ต้องแวะ Siam Paragon ก่อนเสมอ คอยมาดูว่าวงการแฟชั่นที่นี่ไปถึงไหนกันแล้วบ้าง ผมว่ามันเปิดโอกาสที่ดีที่เราได้มาเปิดสาขาที่ Siam Paragon และที่น่าสนใจคือช่วงนี้เราเห็นว่าคนไทยชื่นชอบแบรนด์ของเราเยอะมากขึ้น พวกเขาคอยสนับสนุนพวกเรา ตั้งตารอคอยกับคอลแลกชั่นใหม่ๆ ของเรา ปกติลูกค้าคนไทยมักจะซื้อสินค้าจากร้านเราที่ประเทศอื่นๆ แล้วก็มักจะถามกันบ่อยมากว่า “เมื่อไหร่จะมาเปิดที่กรุงเทพฯ?” พอได้มาเปิดจริง ๆ ก็รู้สึกทั้งดีใจและมั่นใจมากครับว่าพวกเขาจะต้องชอบ
Acne Studios ยังดูทันสมัย พร้อมกับเข้าใจวัฒนธรรมของยุคนี้ได้ดีมาก ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบรนด์นี้อยู่มานานถึง 30 ปีแล้ว โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจคิดว่าเพิ่งจะเปิดเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง อยากทราบว่ามีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้แบรนด์ดูสดใหม่ตลอดเวลาครับ
เป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ ผมก็เห็นด้วยนะว่าเราเองก็อยู่มานานจนกลายเป็น “บริษัท” จริงๆ แต่อีกมุมหนึ่งมันกลับรู้สึกเหมือนเราเพิ่งจะเริ่มตั้งบริษัทกันอยู่เลย
ผมว่ามันเป็นเพราะเราโฟกัสกับ “ปัจจุบัน” มากกว่า เราไม่ใช่แบรนด์ที่ยึดติดกับการทำอะไรเดิมๆ แต่เลือกที่จะหมกมุ่นอยู่กับปัจจุบัน และการจะ “อยู่ในปัจจุบัน” ให้รอด มันก็ต้องทำงานหนัก ต้องทั้งทะเยอทะยานและจะต้องตื่นตัวอยู่ตลอด
เรายังให้ความสำคัญกับคนรุ่นใหม่มากขึ้นด้วยครับ เรามีทีมที่อยู่กับแบรนด์มานานแล้ว และก็มีคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาเติมพลังใหม่ๆ เสมอ คนรุ่นใหม่คอยนิยามแบรนด์เราเสมอว่า “เราคือใคร” และ “มันควรจะไปทางไหนต่อ” ซึ่งบางทีมันก็ท้าทายมากนะครับ แต่ผมมองว่ามันจำเป็นมากนะ ถ้าอยากให้แบรนด์ยัง “สดใหม่” และ “ไปต่อ” ได้

ซาร่า เล็กจ์, มิ้งค์ – เสาวคนธ์ พรพัฒนารักษ์ และ พราว-อรณิชา กรินชัย ที่ปารีสในชุด Acne Studios
เมื่อกี้คุณบอกว่าทีมงานที่ Acne Studios ไม่ค่อยจะทำอะไรเดิมๆ แต่แบรนด์ก็มีมาจนจะ 30 ปีแล้ว มีแพลนพิเศษอะไรไหมในโอกาสครบรอบ 30 ปี?
ก็มีแพลนนิดหน่อยครับ (ยิ้ม) แต่เอาจริงๆ ผมว่าการจัดงานฉลองก็อาจจะดูเยอะไปหน่อย กลัวว่าจะดูอวยตัวเองมากเกินไป เราเลยไม่ได้อยากทำอะไรใหญ่โตขนาดนั้น แต่ก็มีแพลนจะทำอะไรสนุกๆ อยู่บ้างครับ แค่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นอะไร ต้องรอติดตามกันนะครับ
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา คติของ Acne Studios ที่ทางแบรนด์ยึดถือกันทุกวันนี้คืออะไร?
ตั้งแต่วันที่ผมเข้ามาทำงานจนถึงตอนนี้ คติของ Acne Studios คือ “การสร้างสรรค์โดยไม่ลดทอนตัวตน” ครับ ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศ คอยนำทางและเป็นแรงขับเคลื่อนของแบรนด์เราจนถึงทุกวันนี้
เราอยากแสดงออกถึงตัวตนของเรา อยากเล่ามุมมองของเราที่มีต่อทุกคนบนโลก ผ่านสิ่งที่เราสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า งานดีไซน์ หรือภาพลักษณ์ของแบรนด์ ทั้งหมดนี้คือการสื่อสารตัวตนของเราออกไปโดยไม่ลดทอนสิ่งที่เราเชื่อหรือเป็นครับ

Robyn และ Johnny วง NCT ที่แฟชั่นโชว์ Acne Studios Spring/Summer 2026
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Acne Studios เพิ่งประกาศเปิดตัวแอมบาสเดอร์ระดับโลกคนแรก Johnny วง NCT ทำไมถึงคุณเลือกที่จะมีแบรน์แอมบาสเดอร์?
ผมได้เจอกับ Johnny Suh จากวง NCT ตอนที่เขามาดูแฟชั่นโชว์ของเรา ซึ่งเขาก็ชื่นชอบผลงานของเราด้วย จากนั้นเราก็ได้คุยกันครับ ผมรู้สึกว่าพวกเราคลิกกัน เขาเป็นคนที่มีพลังเยอะมาก ซึ่งคติการจะร่วมงานกับแบรนด์ คือ “เราต้องชอบคนคนนั้น และเขาก็ต้องอินกับเราเหมือนกัน” ในกรณีนี้มันลงตัวไปหมดเลยครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติจริง ๆ
ในอนาคต Acne Studios มีแพลนจะร่วมงานกับศิลปินคนไทยไหม เพราะตอนนี้หลายแบรนด์ก็มีคนไทยเป็นเป็นแอมบาสเดอร์เยอะมาก
ผมว่ามันมีสองมุมมองนะ มุมหนึ่งคือเรื่องการร่วมงานอย่างเป็นทางการ แต่จริงๆ Acne Studios เราโฟกัสไปที่ได้ร่วมงานกับคนที่มีของมีความสามารถมากกว่า มันน่าเร้าใจกว่า แต่สำหรับศิลปินไทย ผมว่าก็มีหลายคนที่น่าสนใจมาก อย่าง LISA เองก็เป็นคนที่สนับสนุนแบรนด์เรามาโดยตลอด ถึงจะไม่ใช่ในรูปแบบทางการ แต่เธอใส่เสื้อผ้าเราในชีวิตประจำวัน ผมก็ตื้นตันไม่น้อย
ผมเคยเจอไบรท์ตอนงานแฟชั่นโชว์ของเราด้วยนะครับ เราทานข้าวร่วมกัน เขาเป็นคนที่น่ารักมากๆ ส่วน ภีมวสุ [วง BUS] ก็เคยมาร่วมงานเปิดแกลเลอรีของเราช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา ซึ่งเขาก็น่ารักและเป็นกันเองสุดๆ
มีศิลปินไทยเก่งๆ อีกเยอะมากครับ ส่วนเรื่องจะร่วมมือกันอย่างเป็นทางการไหม อันนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ส่วนตัวผมชอบเวลาที่ทุกอย่างไหลไปเองตามธรรมชาติมากกว่า อย่างเช่น การที่เราคลิกกัน เคารพกัน และได้สร้างสรรค์อะไรด้วยกันโดยไม่ต้องมีกฎกติกาอะไร บางทีมันทรงพลังมากกว่าความเป็นทางการเสียอีกครับ

Charli xcx บนแคมเปญ Acne Studios Spring/Summer 2025
จริงครับ เพราะบางแบรนด์ชอบรีบตัดสินใจเลือกคนคนหนึ่งมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์เพียงเพราะเขาดังในช่วงนั้น แล้วรีบเซ็นสัญญาทันที โดยผมกลับคิดว่าทุกวันนี้คนรุ่นใหม่กลับให้ความสำคัญกับเรื่องจริยธรรม ความจริงใจ หรือเบื้องหลังของแบรนด์มากขึ้น ซึ่งพอเห็นใครมาเป็นแอมบาสเดอร์ เขาก็คงอยากเห็น “เส้นทาง” ของทั้งคู่ก่อน ว่ารู้จักกันได้ยังไง โตมาด้วยกันแบบไหน
ใช่ครับ พวกเขาอยากเห็นการเดินทางจริงๆ ของทั้งสองฝ่าย
แล้วอีกอย่างที่ผมคิดว่าน่าสนใจก็คือ ทุกวันนี้เกือบทุกแบรนด์ก็มีแอมบาสเดอร์ของตัวเองอยู่แล้ว แต่โจทย์ที่แท้จริงคือ “จะทำงานกับพวกเขายังไงให้มันไปไกลกว่าการขึ้นแคมเปญหรือเดินแฟชั่นโชว์” ผมว่าต้องหาวิธีทำงานร่วมกันแบบใหม่ๆ สร้างสรรค์และแตกต่างมากขึ้น คนสมัยนี้อยากเห็นอะไรที่จริงใจกว่าเดิมและมีความหมายกว่านั้น
ใช่เลยครับ ผมเห็นด้วยสุดๆ ตอนนี้เราก็กำลังมีโปรเจกต์ที่น่าตื่นเต้นกับ Robyn ศิลปินและนักร้องชาวสวีเดนที่เก่งมาก เธอมีศิลปะที่เดินเคียงคู่กับแบรนด์ของเรา เพราะว่าเธอเริ่มเป็นศิลปินเมื่อราวๆ 30 ปีก่อน ช่วงเวลาเดียวกับที่ Acne Studios ก่อตั้งเลยครับ เราเติบโตมาด้วยกันหมือนเพื่อนกันมากกว่าเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจ และในซีซั่นล่าสุด Robyn ก็เป็นคนแต่งเพลงในงานโชว์ของเราด้วย มันสนุกและเท่มากครับ และเร็วๆ นี้เราก็จะมีโปรเจกต์ใหม่กับเธออีกหลายอย่างด้วยเช่นกัน

Acne Gallery ที่ปารีส
ตอนนี้แบรนด์คุณไม่ได้มีแค่เสื้อผ้า แต่มีทั้ง Acne Paper แล้วก็เพิ่งเปิดตัวน้ำหอมด้วย อยากรู้ว่าในฐานะ CEO มีผลิตภัณฑ์หรือโปรเจกต์อื่นๆ ที่คุณอยากต่อยอดไหม? เพราะตอนนี้เทรนด์ใหญ่ของวงการแฟชั่นมันเริ่มขยายไปถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ด้วย เช่น พวกคาเฟ่ หรือ โรงแรมด้วย
ซัมเมอร์ที่ผ่านมา เราเพิ่งเปิดตัว Acne Gallery ที่ปารีส มันช่างน่าตื่นเต้นมาก เพราะมันคือการต่อยอดจาก Acne Paper ให้กลายเป็นของจริงมากขึ้น มีชีวิต มีจิตวิญญาณสมจริงมากขึ้น พวกเราใส่ความคิดสร้างสรรค์กันอย่างเต็มที่ และยังเปิดโอกาสให้ศิลปินคนอื่นๆ ได้ร่วมละเลงความคิดสร้างสรรค์ด้วยเช่นกัน
โปรเจกต์นี้มันไม่ใช่แค่ “สินค้า” แต่เป็น “พื้นที่สร้างสรรค์” มากกว่า ส่วนเรื่องน้ำหอมและบิวตี้ พวกเราเพิ่งจะเริ่มกันเองครับ ในอนาคตเราก็อยากทำมากขึ้นนะ แต่เราตั้งใจที่จะค่อยๆ พัฒนา มันเป็นสินค้าที่สะท้อนตัวตนของแบรนด์เราเช่นกัน ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร
ส่วนพวกคาเฟ่ ผมว่ามันมีเยอะเกินไปแล้ว (หัวเราะ) อันนั้นคงไม่ใช่ทางของเรา แต่ถ้าเป็นเรื่อง Hospitality อย่างโรงแรมหรือที่พักอะไรแบบนั้นก็พอจะมีแววอยู่นะ ผมว่ามันน่าจะสนุกมากๆ แต่ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอน
แล้วในส่วนของสินค้าที่วางขายในร้านเอง มีแผนจะขยายไลน์เพิ่มเติมไหมครับ อย่างเช่นแว่นกันแดด
มีนะครับ เรากำลังจะมีแว่นกันแดดรุ่นใหม่ออกมาอีกหลายรุ่นเลยครับ เป็นไลน์ที่เราตั้งใจพัฒนาเองทั้งหมด หลายแบรนด์อาจเลือกทำร่วมกับบริษัทหรือแบรนด์อื่น แต่เราชอบทำเองมากกว่า ถึงจะใช้เวลานานหน่อย แต่ข้อดีคือเราควบคุมได้ทั้งคุณภาพและภาพลักษณ์ของสินค้าได้เต็มที่เลยครับ หลังจากนี้จะได้เห็นแว่นกันแดดจาก Acne Studios เพิ่มขึ้นแน่นอน

กลุ่มสินค้าผ้าพันคอ Acne Studios
“ผ้าพันคอ” คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลายคนรู้จัก Acne Studios ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับว่าผ้าพันคอชิ้นนี้มีบทบาทยังไงกับแบรนด์
ตอนนี้เรามีสินค้า 2 ประเภทที่คนละขั้วกันเลย 1. คือแว่นกันแดด 2. ผ้าพันคอ ซึ่งจริงๆ แล้วคนสวีเดนเนี่ย คุณก็คงทราบนะครับว่าเราชินกับอากาศหนาวกันอยู่แล้ว คือมันเป็นเรื่องกล้วยๆ มากครับ หนาวขนาดนี้ก็ต้องมีผ้าพันคอสิครับ!
ผ้าพันคอจึงเป็นสินค้าที่เข้ากับดีเอ็นเอของเรา เราสนุกกับการได้เล่นได้ออกแบบ ทั้งเรื่องเนื้อผ้า สีสันที่หลากหลาย เป็นไอเท็มที่ Mix and Match ได้ง่ายมาก สามารถเปลี่ยนลุคได้ทั้งชุดเลยนะครับ อย่างบางคนแต่งตัวเรียบๆ แต่พอมีผ้าพันคอสีสดใสเข้าไป มันก็เพิ่มพลังให้ทั้งลุคทันที พวกเราชอบตรงนี้มากครับ
อย่างที่คุณพูดเลย ผ้าพันคอเป็นสินค้าแรกๆ ที่หลายคนรู้จัก Acne Studios แต่จริงๆ เราไม่ได้วางแผนให้มันเป็นแบบนั้นเลยครับ มันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ ซึ่งผมว่ามันก็เหมือนกับแฟชั่นหลายอย่างนั่นแหละครับ คุณจะวางกลยุทธ์ได้แค่บางส่วน แต่บางอย่างก็มักเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ผ้าพันคอคือสิ่งที่เรารักและสนุกในการทำ แล้วอยู่ดีๆ มันก็กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกชื่นชอบครับ
ผมว่ามันน่าสนใจนะ สำหรับผมเอง สินค้าชิ้นแรกที่ผมรู้จัก แบรนด์ Acne Studios คือกางเกงยีนส์มากกว่า เพราะถ้าย้อนกลับไปสักสิบปีก่อน ทุกคนจะพูดถึงยีนส์ของแบรนด์นี้ตลอดเลย
ใช่ครับๆ เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผมเหมือนกัน สินค้าแรกของแบรนด์เราคือ “ยีนส์” เลยครับ เป็นเสื้อผ้าที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เป็นไอเท็มที่สื่อสารกับคนได้ทั่วโลก เราเริ่มจากตรงนั้น แต่ผมก็เห็นด้วยกับคุณเลยครับ ทุกวันนี้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ หลายคนอาจรู้จักเราผ่านผ้าพันคอก่อนยีนส์ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) ผมก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ผมดีใจที่พวกเขาได้มารู้จักเราไม่ว่าจะมาจากสินค้าไหนก็ตาม แต่แน่นอนครับ ผมก็อยากให้พวกเขาได้รู้จัก “ยีนส์” ของเรามากขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่างของ Acne Studios เลยครับ

สำนักงานใหญ่ Acne Studios ที่ ปารีส
คำถามสุดท้าย ถ้าคุณจะให้คำแนะนำกับคนรุ่นใหม่ที่อยากเติบโตขึ้นมาเป็น CEO ของแบรนด์แฟชั่นสักแบรนด์ คุณอยากบอกอะไรกับพวกเขา?
ผมว่าการเริ่มต้นที่ดีที่สุดคือ “ลองทำงานในร้าน” ก่อนครับ เพราะคุณจะได้เรียนรู้ทุกอย่างที่นั่นเลย ทั้งเรื่องสินค้า ผู้บริโภค และกระบวนการทำงานต่างๆ การทำงานหน้าร้านช่วยให้เข้าใจว่า “อะไรคือสิ่งที่เชื่อมคนเข้ากับแบรนด์” จริงๆ ครับ
หลังจากนั้นก็พยายามเข้าไปอยู่ในองค์กรแฟชั่น ลองอะไรใหม่ๆ หลายๆ แผนกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ มันจะช่วยให้คุณมีมุมมองกว้างขึ้น ไม่ว่าจะเรื่องการออกแบบ การตลาด หรือการขาย ทั้งหมดมันเชื่อมโยงกันหมดเลย อีกอย่างคือ ต้อง “อยากรู้อยากเห็น ทะเยอทะยาน และไม่หยุดเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ” ตอนผมเริ่มทำงานที่นี่ผมโชคดีมากที่ทีมยังเล็ก ผมจึงได้ลองทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งถ้ามีโอกาสได้ลองไปทำแผนกอื่นบ้าง ผมว่ามันจะสร้างความรู้ให้กับคุณได้เยอะขึ้น กว้างขึ้น แต่เหตุผลที่ผมเชียร์ให้เริ่มจากที่ร้านก่อน เพราะสุดท้ายแล้ว คุณจะเข้าใจแก่นสำคัญที่สุดของการทำงานในสายแฟชั่น คือ “ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับแฟชั่น” และนั่นแหละครับคือรากฐานของทุกแบรนด์ที่ยั่งยืน
ภาพ: Acne Studios & Getty Images


