×

บิทาซซ่าคาดนักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโตผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

11.11.2025
  • LOADING...
บิทาซซ่าคาด นักท่องเที่ยวใช้จ่ายด้วยคริปโต ผ่าน DigiPay ราว 6.6 หมื่นล้านบาท ช่วยยกระดับการใช้คริปโตในไทย มากกว่าแค่เก็งกำไร

ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงการ DigiPay คิดเป็นมูลค่าราว 6.6 หมื่นล้านบาท

 

จากโครงการ TouristDigiPay ซึ่งเป็นโครงการทดสอบ (Sandbox) การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ​และการ
​​ท่องเที่ยวของประเทศ โดยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล มาแลก​เปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบ e-money ได้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเห็นชอบ​จะมีระยะเวลาทดสอบภายใน 18 เดือน

 

ธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทาซซ่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บิทาซซ่าอยู่ระหว่างขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นรายแรกหรือรายต้นๆ ในการทำโครงการนี้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแล้วเสร็จประมาณ 80% โครงการนี้จะเป็นก้าวแรกของไทยในการที่เราเปิดให้นำคริปโตมาใช้จ่ายได้

 

“จากระยะเวลาโครงการ 18 เดือน คิดว่าจะมี 5% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาร่วมโครงการ คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายราว 6.6 หมื่นล้านบาท เราเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินดั้งเดิมสมัยก่อน” ธนวัตกล่าว

 

โครงการนี้ จะเปิดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ส่วนคนไทยหรือคนต่างชาติที่ทำงานในไทยไม่สามารถใช้ได้ และเนื่องจากเป็นโครงการ Sandbox จึงมีการกำหนดวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้สูงสุดต่อวัน คือ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) ส่วนผู้ใช้จ่ายจะมีกระบวนการ Know Your Customer (KYC) และ Know Your Transaction (KYT) ด้วย

 

โครงการทดสอบ (Sandbox) การนำ

https://www.sec.or.th/TH/Pages/SHORTCUT/TOURISTDIGIPAY.aspx

 

สำหรับบิทาซซ่าจะรับแลกเหรียญที่อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มของบิทาซซ่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120 คู่เหรียญ​ โดยธนวัตมองว่าหนึ่งในจุดเด่นของโครงการนี้คือ ค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนจากคริปโตมาเป็นเงินบาทที่ต่ำกว่าผู้ให้บริการการเงินระดับโลก ซึ่งมักจะเก็บค่าธรรมเนียมราว 5%

 

จับมือ B2C2 ช่วยเติมสภาพคล่องในศูนย์ซื้อขาย

 

ล่าสุด บิทาซซ่า และ B2C2 ผู้นำระดับโลกด้านการให้สภาพคล่องสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบกำกับดูแลในประเทศไทย

 

B2C2 ได้ร่วมงานกับบิทาซซ่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน และภายใต้ความร่วมมือนี้ B2C2 จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องหลักแก่ Bitazza Thailand พร้อมร่วมดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจและการเติบโตในหลายด้าน โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ Bitazza Thailand สามารถขยายบริการในตลาดสถาบันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านบริการสภาพคล่องระดับโฮลเซลล์ การจัดการด้านเครดิต และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการในอนาคต

 

ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยไปสู่การมีบทบาทมากขึ้นของนักลงทุนสถาบัน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลกด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Adoption) ซึ่งแสดงถึงความพร้อมของประเทศในการเข้าสู่การเติบโตในระดับสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ

 

ภาพ: Peter Dazeley/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising