ซีอีโอ ‘บิทาซซ่า’ คาดนักท่องเที่ยว 5% ใช้จ่ายผ่านโครงการ DigiPay คิดเป็นมูลค่าราว 6.6 หมื่นล้านบาท
จากโครงการ TouristDigiPay ซึ่งเป็นโครงการทดสอบ (Sandbox) การนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาเปลี่ยนเป็นเงินบาทและนำไปใช้จ่าย มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการนำนวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลมาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการ
ท่องเที่ยวของประเทศ โดยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล มาแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทเพื่อนำไปใช้จ่ายในประเทศไทยผ่านระบบ e-money ได้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความเห็นชอบจะมีระยะเวลาทดสอบภายใน 18 เดือน
ธนวัต สุตันติวรคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทาซซ่า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บิทาซซ่าอยู่ระหว่างขออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเชื่อว่าบริษัทจะเป็นรายแรกหรือรายต้นๆ ในการทำโครงการนี้ ปัจจุบันแอปพลิเคชันแล้วเสร็จประมาณ 80% โครงการนี้จะเป็นก้าวแรกของไทยในการที่เราเปิดให้นำคริปโตมาใช้จ่ายได้
“จากระยะเวลาโครงการ 18 เดือน คิดว่าจะมี 5% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาร่วมโครงการ คิดเป็นมูลค่าการใช้จ่ายราว 6.6 หมื่นล้านบาท เราเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว แต่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเงินดั้งเดิมสมัยก่อน” ธนวัตกล่าว
โครงการนี้ จะเปิดให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ ส่วนคนไทยหรือคนต่างชาติที่ทำงานในไทยไม่สามารถใช้ได้ และเนื่องจากเป็นโครงการ Sandbox จึงมีการกำหนดวงเงินที่สามารถใช้จ่ายได้สูงสุดต่อวัน คือ ไม่เกิน 50,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้ารายย่อย และไม่เกิน 500,000 บาทต่อเดือน กรณีชำระเงินแก่ร้านค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Merchant (KYM) ส่วนผู้ใช้จ่ายจะมีกระบวนการ Know Your Customer (KYC) และ Know Your Transaction (KYT) ด้วย

https://www.sec.or.th/TH/Pages/SHORTCUT/TOURISTDIGIPAY.aspx
สำหรับบิทาซซ่าจะรับแลกเหรียญที่อยู่ภายใต้แพลตฟอร์มของบิทาซซ่า ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 120 คู่เหรียญ โดยธนวัตมองว่าหนึ่งในจุดเด่นของโครงการนี้คือ ค่าธรรมเนียมในการแลกเปลี่ยนจากคริปโตมาเป็นเงินบาทที่ต่ำกว่าผู้ให้บริการการเงินระดับโลก ซึ่งมักจะเก็บค่าธรรมเนียมราว 5%
จับมือ B2C2 ช่วยเติมสภาพคล่องในศูนย์ซื้อขาย
ล่าสุด บิทาซซ่า และ B2C2 ผู้นำระดับโลกด้านการให้สภาพคล่องสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างยั่งยืนภายใต้กรอบกำกับดูแลในประเทศไทย
B2C2 ได้ร่วมงานกับบิทาซซ่ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 6 ปีก่อน และภายใต้ความร่วมมือนี้ B2C2 จะเป็นผู้ให้บริการสภาพคล่องหลักแก่ Bitazza Thailand พร้อมร่วมดำเนินโครงการพัฒนาธุรกิจและการเติบโตในหลายด้าน โดยความร่วมมือนี้จะช่วยให้ Bitazza Thailand สามารถขยายบริการในตลาดสถาบันได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ผ่านบริการสภาพคล่องระดับโฮลเซลล์ การจัดการด้านเครดิต และการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและโครงการในอนาคต
ความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากการมีส่วนร่วมของนักลงทุนรายย่อยไปสู่การมีบทบาทมากขึ้นของนักลงทุนสถาบัน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 17 ของโลกด้านการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Adoption) ซึ่งแสดงถึงความพร้อมของประเทศในการเข้าสู่การเติบโตในระดับสถาบันอย่างเต็มรูปแบบ
ภาพ: Peter Dazeley/Getty Images


