×

ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน

โดย THE STANDARD TEAM
06.11.2025
  • LOADING...
ทูตญี่ปุ่นย้ำจุดแข็งของ ไทย ชี้โอกาสปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุน

โอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยขึ้นกล่าว Keynote บนเวที THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ในวันนี้ (6 พฤศจิกายน) โดยกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและไทยดำเนินมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ช่วงสมัยอยุธยา ก่อนที่ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเข้มแข็งขึ้นผ่านการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่น

 

โดยองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่น มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของไทยให้แข็งแกร่งตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เช่น สนามบินหลักทั้งสองแห่ง (ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) และท่าเรือแหลมฉบัง ต่างก็ได้รับการสนับสนุนจาก JICA เช่นกัน

 

จุดแข็งของประเทศไทยในฐานะฐานการลงทุน

 

ท่านทูตมาซาโตะ ระบุว่า โครงสร้างพื้นฐานของไทยที่ JICA มีส่วนช่วยสร้างขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทญี่ปุ่นเข้ามาทำงานร่วมกับคนไทย โดยเฉพาะในภาคยานยนต์ จึงทำให้ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งเกิดขึ้น สิ่งนี้คือ ‘ความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริงระหว่างญี่ปุ่นกับไทย’

 

นอกจากนี้ระบบการศึกษาและความขยันของคนไทยทำให้มีบุคลากรที่มีคุณภาพสูงมาก ตั้งแต่ระดับผู้จัดการ วิศวกร ไปจนถึงผู้ปฏิบัติงาน โดยสถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับไทยคือ การที่นักลงทุนญี่ปุ่นเข้ามาลงทุน ทำงานร่วมกับบริษัทและคนไทย และสร้างบริษัทที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดที่สามได้

 

แนวโน้มการลงทุนและการแข่งขัน

 

ภาพรวมการลงทุนของญี่ปุ่นในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างคงที่ แต่การลงทุนในภาคที่ไม่ใช่การผลิต (Non-Manufacturing) เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะภาคการเงินและการประกันภัย รวมถึงการค้าส่งและการค้าปลีก เช่น Uniqlo, Muji

 

ขณะที่การลงทุนโดยตรงในไทย แม้ว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะเคยเป็นอันดับหนึ่งจนถึงปี 2022 แต่หลังปี 2023 ถูกแซงหน้าโดยประเทศอื่นๆ เช่น จีนและสิงคโปร์ อย่างไรก็ตามการลงทุนของญี่ปุ่นยังคงแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ส่วนการลงทุนสะสม (Investment in Stock Basis) ญี่ปุ่นยังคงเป็นอันดับหนึ่งในไทย โดยมีมูลค่าสะสมประมาณ 40 ล้านล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ประเทศไทยกำลังแข่งขันอย่างเข้มข้นกับเวียดนามและอินโดนีเซีย ในการดึงดูดการลงทุนจากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ

 

โดยประเทศไทยมีหลายภาคส่วนที่ถือว่ามีศักยภาพ เช่น ภาคยานยนต์ (Automotive Sector) ยังคงเป็น แรงผลักดันหลักของเศรษฐกิจไทย แต่กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน เนื่องจากยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มีบทบาทมากขึ้น, อุตสาหกรรมเคมีและอิเล็กทรอนิกส์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), สิ่งแวดล้อมและชีวมวล (Biomass) รวมถึงการเป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์ ความร่วมมือด้านอวกาศ และด้านอุตสาหกรรมอาหาร

 

ไทยกับการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

 

ท่านทูตมาซาโตะ ระบุว่า ต้นทุนไฟฟ้าของไทยสูงกว่าคู่แข่งหลักอย่างเวียดนามและอินโดนีเซียอย่างมาก ปัญหานี้ทำให้หลายบริษัทพยายามผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้เอง แต่ถูกจำกัดการเชื่อมต่อกับระบบสายส่ง (Grid) ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุดเพื่อให้ไทยยังคงสามารถแข่งขันได้

 

อีกทั้งยังเสนอให้ไทยใช้ประโยชน์จากการมีพรมแดนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านให้เต็มที่ สร้างเชื่อมโยงภายในอาเซียน (Connectivity in ASEAN) โดยหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนพัฒนาการที่ดีคือ การสร้างศูนย์ CIQ (Customs, Immigration, Quarantine) ที่ทันสมัยที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เพื่อให้การค้าและการเคลื่อนย้ายผู้คนเป็นไปอย่างราบรื่น

 

การดำเนินการในด้านพลังงานและการเชื่อมโยงเหล่านี้ จะช่วยให้ไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศและมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกต่อไป

 

ภาพ: THE STANDARD

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising