ดร.เอกนิติ รองนายกฯ และ รมว.คลัง จ่องัด Thailand Future Fund ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว เพื่อระดมทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และฟาร์มโซลาร์ลอยน้ำ (Solar Floating) หลังการลงทุนไทยลดลงเหลือ 20% ต่อ GDP เท่านั้น
วันนี้ (6 พฤศจิกายน) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025: Thailand’s Next Frontier โดยเปิดแนวทางในการเพิ่มขีดความสามารถในการลงทุนของไทย ภายใต้นโยบาย‘Quick Big Win’ เสาหลักที่ 5 ‘การสร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต’ มุ่งปลดล็อกการลงทุนที่ค้างท่อ ผ่านการส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาทักษะแรงงาน และกิโยตินกฎหมาย
โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยขาดการลงทุนมานาน จึงไม่สามารถขยายตัวได้สูง 5-6% แบบเดิม ผิดกับเวียดนามที่มีการลงทุนสูง จนมีขนาดเศรษฐกิจโตขึ้นเรื่อยๆ ไล่ตามไทยมาติดๆ
“ในอดีต เราเคยลงทุน 40-50% ของ GDP ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน แต่หลังวิกฤติปี 2540 จนถึงปัจจุบัน เราลงทุนเฉลี่ยเพียงกว่า 20% เท่านั้น ซึ่งหายไปครึ่งหนึ่ง ไม่ถึง 25% ด้วยซ้ำ เพราะงั้น ถ้าเราไม่ลงทุน จะเอาที่ไหนไปโต” ดร.เอกนิติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติชี้ว่า โจทย์ใหญ่ของภาคการลงทุนไทยทุกวันนี้ คือ “เราไม่มีงบประมาณพอที่จะลงทุน ฐานะการคลังเรามีจำกัด” สะท้อนได้จากการถูกปรับลดอันดับเครดิต (Outlook) โดยสถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำต่างๆ
ถึงแม้อย่างนั้น ดร.เอกนิติ ชี้ว่า ไทยยังมีทางออก โดยอาศัยเครื่องมือทางการเงิน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดหนี้สาธารณะได้ ผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในอนาคตแห่งประเทศไทย (Thailand Future Fund) ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว เพื่อระดมทุนสำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต หรือพลังงานสะอาด เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และฟาร์มโซลาร์ลอยน้ำ (Solar Floating) โดยนำรายได้จากอนาคต (Future Income) มาเป็นหลักประกันในการออกกองทุน
ดร.เอกนิติชี้ว่า เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว (1) ได้การลงทุนใหม่เพิ่ม (2) ได้การลงทุนเพื่ออนาคตพลังงานสะอาด (3) กองทุนนี้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (4) กองทุนนี้มีระบบธรรมาภิบาล (Governance)


