×

คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง

05.11.2025
  • LOADING...
คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง

ถึงจะล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่วินิซิอุส จูเนียร์ จรวดทางเรียบชาวบราซิลผู้เคยเป็นตัวแสบของลิเวอร์พูลในเกมนัดชิงแชมเปียนส์ ลีกในปี 2022 ยังอยากจะพยายามอีกสักครั้ง

 

ความหวังของเขาอยู่กับเดิมพันว่าหากเขาผ่านด่านนี้ไปได้ ขออีกแค่ครั้งเดียว นั่นอาจหมายถึงการพลิกเกมกลับมาของเรอัล มาดริดได้เลย

 

ปัญหาคือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น!

 

แม้จะเป็นช่วงท้ายเกมที่เรี่ยวแรงควรจะอ่อนลงไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนคอเนอร์ แบรดลีย์จะยังไหวสบายๆ ในการรับมือกับหนึ่งในปีกซ้ายที่ดีที่สุดของโลก และสุดท้ายเขาก็จัดการเก็บคู่แข่งใส่กระเป๋าได้เหมือนตลอดทั้งเกมที่ผ่านมา ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะเฉือนเรอัล มาดริดได้ 1-0

 

การเล่นของเขาเรียกเสียงโห่ร้องด้วยความสะใจของกองเชียร์เดอะ ค็อปได้ดังสนั่น ซึ่งมันเป็นเสียงและความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับทุกจังหวะที่เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้สัมผัสบอลในสนามในสีเสื้อขาวของทีม Los Merengues

 

ระหว่างทั้งสองจึงเป็นกระจกสะท้อนของกันและกัน

 

ในเรื่องราวของเมื่อวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้

 

คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง 1

 

ซูเปอร์แบรดลีย์!

 

ดูเหมือนนักเตะจากหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในไอร์แลนด์จะชื่นชอบการลงสนามกับเรอัล มาดริดเป็นพิเศษ

 

เมื่อปีกลาย แบรดลีย์ สร้างชื่อเสียงกระหึ่มกับจังหวะการเข้าเสียบสกัดใส่คีลิยัน เอ็มบัปเป หนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของโลกจนกลิ้งเป็นลูกขนุน ภาพการเข้าแท็กเกิลจังหวะนี้เป็นหนึ่งในภาพจำของฤดูกาลที่แล้วสำหรับลิเวอร์พูล

 

มาถึงฤดูกาลนี้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องของสภาพความฟิตตั้งแต่เปิดฤดูกาล แต่เมื่อถึงคราวต้องลงสนามในเกมสำคัญ แบ็กคนหนุ่มวัย 22 ปี พิสูจน์คุณค่าและความสามารถของตัวเองให้เห็นอีกครั้งในการเจอกับเรอัล มาดริด ที่กำลังร้อนแรง

 

ตลอดทั้ง 90 นาที แบรดลีย์ไล่เก็บกวาดเกมรับทางฝั่งขวาของลิเวอร์พูลได้อย่างสะอาดหมดจด โดยเฉพาะการรับมือกับวินิซิอุส จูเนียร์ ปีกซ้ายที่เคยเป็นของแสลงของทีมมาโดยตลอด

 

นอกจากจะชิงบอลได้เกือบทุกจังหวะ ยังเลี้ยงบอลฝ่าปีกสตาร์บราซิลเอาดื้อๆ ไปจนถึงอีกหลายจังหวะที่เติมเกมรุกได้สวยงาม และความนิ่งในการครองบอลในระดับไม่ธรรมดาที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์และคลายความกดดันให้ทีมได้

 

ในฤดูกาลที่ 3 ที่เขาลงสนามในสีเสื้อแดงเพลิง นี่คือเกมที่ดีที่สุดในชีวิตจนถึงตอนนี้ของแบรดลีย์อย่างไม่ต้องสงสัย

 

ที่สำคัญคือเขาได้รับการประทับตราจากหัวใจของแฟนๆ

 

นี่แหละคือฮีโร่ตัวจริงคนใหม่ของเรา

 

คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง 2

 

แก้ปัญหาใหม่ด้วยวิธีเดิม

 

ความจริงแล้วหนึ่งในจุดที่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตที่ผ่านมาคือตำแหน่ง ‘แบ็กขวา’ ที่หาคำตอบไม่เจอ

 

การจากไปของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ทิ้งช่องโหว่ระดับมหึมาเอาไว้ไม่ใช่แค่ในความรู้สึกแต่เป็นในเชิงของแท็กติกการเล่นด้วย เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมาแบ็กขวาสเกาเซอร์เป็น ‘ครีเอเตอร์’ คนสำคัญของทีม

 

เทรนต์ทำได้ทุกอย่างในการสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นการวางบอลยาวที่แม่นในระดับเท้าชั่งทอง ลูกยิงไกลที่มหัศจรรย์ ไปจนถึงการเปิดบอลขนานเส้นให้โม ซาลาห์ จู่โจมอย่างรวดเร็วทางฝั่งขวา

 

ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา อาร์เนอ สลอต พยายามค้นหาคำตอบว่าจะทำอย่างไรถึงจะทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปได้ ด้วยการใช้ทั้งเจเรมี ฟริมปง แบ็กขวาตัวใหม่ที่ซื้อมาจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน เพื่อหวังทดแทนเทรนต์และชิงตำแหน่งกับแบรดลีย์ ที่เป็นนักเตะชุดเดิม

 

ไปจนถึงการลองเอาโดมินิก โซโบสไล มิดฟิลด์ห้องเครื่องมาประจำการ ซึ่งก็ได้ผลดีประมาณหนึ่ง แต่ทำไปทำมาลิเวอร์พูลก็ยังแก้ปัญหานี้ไม่ได้สักที และกลายเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่ใหญ่และเห็นได้ชัดจนโดนคู่แข่งเล่นงานในพื้นที่ริมเส้นเสมอ

 

อย่างไรก็ดี สลอตได้ค้นพบคำตอบว่าคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ในเวลานี้ก็คือคนเดิม

 

แบรดลีย์ ที่ประสบปัญหาสภาพร่างกายไม่ฟิตมาตลอดก่อนหน้านี้ ยกระดับการเล่นของตัวเองอย่างชัดเจนใน 2 นัดหลังสุดกับวิลลาและมาดริด แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ใจสู้ บู๊ไม่ถอย และการหาจังหวะสร้างเกมรุก แม้แต่การวางบอลยาวในระยะ 70-80 หลาก็มีให้เห็น

 

ผลงานนั้นดีพอที่จะทำให้ทุกคนมั่นใจว่าเขาควรยึดตัวจริงของลิเวอร์พูลได้ทันที โดยที่เป็นเรื่องของฟริมปงที่จะต้องพยายามหาทางช่วงชิงตำแหน่งกันเอง
พิธีต้อนรับที่แสนเจ็บปวด

 

เสียงปรบมือกึกก้องของเดอะ ค็อปทั้งสนามที่มีให้แก่ ‘There’s Only One Bradley’ นั้นช่างแตกต่างจากการต้อนรับของพวกเขาที่มีต่อคนเคยรักกันอย่างเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์

 

ถึงแม้จะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีมตั้งแต่ยุคของเจอร์เกน คล็อปป์ ผ่านมาถึงยุคของสลอต ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัย แชมเปียนส์ ลีกอีก 1 สมัย และแชมป์อื่นๆ ครบเซ็ตของโลกใบนี้ แต่สิ่งที่เทรนต์ได้รับจากแฟนฟุตบอลคือเสียงโห่ที่ดังสนั่น

 

คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง 3

 

เสียงนั้นดังกระหึ่มตั้งแต่ในช่วงของการอบอุ่นร่างกาย ช่วงของการประกาศรายชื่อ และช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกมที่ชาบี อลอนโซ นายใหญ่อดีตขวัญใจเดอะ ค็อปอีกคนตัดสินใจที่จะส่งแบ็กขวาทีมชาติอังกฤษลงสนาม

 

โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสีหน้าและแววตาของเทรนต์เจ็บปวด

 

เจ็บยิ่งกว่าข่าวภาพวาดบนผนัง (Mural) ของเขาถูกสาดสีและเขียนข้อความประณามการตัดสินใจทิ้งทีมไปโดยไม่ให้ทีมได้อะไรกลับมาว่า ‘Rat’ ซึ่งในเวลาต่อมามีคนไปช่วยทำความสะอาดฟื้นฟูภาพให้

 

เพราะนี่คือความรู้สึกจริงๆ ของเดอะ ค็อปที่อยากบอกให้เขารู้ และสำหรับเทรนต์มันอาจจะยากเกินใจจะรับไหวในตอนนี้

 

ตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสนามแอนฟิลด์ในฐานะของคู่แข่ง เขาแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน การเปิดบอลที่เคยเป็นจุดเด่น 2 ครั้งก็ห่างไกลจากเป้าหมายมาก จืดจาง และยิ่งเล่นไม่ออกเท่าไรก็ยิ่งหมายถึงความสุขของคนเคยรักมากขึ้นเท่านั้น

 

แม้กระทั่งเวอร์จีล ฟาน ไดค์ ที่เคยเป็น ‘ลูกพี่’ เองก็ไม่ได้คิดที่จะพูดคุยถามไถ่อะไรกันอีก

 

“ไม่” ฟาน ไดค์ เมื่อถูกถามว่ามีการพูดคุยหรือเจอกับเทรนต์หลังเกมบ้างไหม

 

เจ็บจริงอะไรจริง

 

คืนพิเศษของ ‘ซูเปอร์แบรดลีย์’ ในวันที่ฮีโร่คนเก่าต้องยอมรับความจริง 4

 

ไม่หันกลับไป

 

หลังสุดหลังจากแพ้ 6 ใน 7 นัดก่อนหน้านี้ นอกจากการค้นพบ ‘ตัวจริง’ ในตำแหน่งแบ็กขวาแล้ว นายใหญ่ชาวดัตช์ยังค้นพบคำตอบที่สำคัญในวันที่ยังไม่สายเกินไป

 

นั่นคือการที่เขาอาจจะต้องเลิกคิดเยอะ (Overthink) และหันกลับมาใช้ระบบการเล่นแบบเก่า ผู้เล่นเดิมที่เคยใช้และได้ผลดีมาก่อน

 

แกนหลักชุดเดิมอย่างโซโบสไล, อเล็กซิส แม็คคัลลิสเตอร์, ไรอัน คราเฟนแบร์ก, แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน รวมถึงแบรดลีย์ได้กลับมาเล่นในตำแหน่งและแท็กติกที่ถนัดอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ได้หมายถึงแค่การหมุนเวียนผู้เล่นตามตำแหน่ง

 

แต่มันหมายถึงการกดปุ่ม Reset ให้ทีมกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ในระบบการเล่นเดิมที่คุ้นเคยและทำได้ดี

 

จากชัยชนะ 2-0 ในเกมกับวิลลา ลิเวอร์พูลเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้งในเกมกับมาดริดและเก็บคลีนชีตได้เป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเกมรับที่มีมาตลอดได้รับการแก้ไขอย่างถูกวิธี

 

อย่างไรก็ดีการวนกลับไปที่เดิมไม่ได้แปลว่าเหมือนเดิมหมด

 

ผู้เล่นอย่างโซโบสไลในวันนี้พัฒนาตัวเองขึ้นมาอีกและดูเหมาะสมคู่ควรกับการยืนเป็น ‘หมายเลข 10’ ของลิเวอร์พูล เพราะเติมความอันตรายในเรื่องของการเปิดบอลทำแอสซิสต์ ไปจนถึงการหาโอกาสยิงประตูด้วยการยิงไกลหน้ากรอบเขตโทษ

 

หรือแม้แต่แบรดลีย์เองก็ดูเติบโตขึ้นทางเกมลูกหนังด้วยเช่นเดียวกัน ไม่ได้เล่นแบบดิบๆ อย่างเดียว แต่มีลูกล่อลูกชนมากขึ้น รวมถึงร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำขึ้นด้วย

 

ดังนั้นแม้จะไม่สามารถทำอะไรพิเศษๆได้ในแบบที่เทรนต์เคยทำ แต่อย่างน้อยวันนี้แบ็กไอริชแสดงให้เห็นแล้วว่าแบ็กขวาธรรมดาอย่างเขาก็มีความไม่ธรรมดาในตัวเหมือนกัน

 

และเขาพร้อมจะเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้า

 

โดยไม่จำเป็นต้องหันกลับมามองข้างหลังด้วยความคิดถึงอีกแล้ว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising