โลกกำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์, สงคราม, การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี AI และวิกฤตสภาพภูมิอากาศ คำถามสำคัญที่ตามมา คือ ไทยควรวางตัวอย่างไร ท่ามกลางโลกอันแสนผันผวนและแบ่งขั้วเช่นนี้
หนึ่งในผู้ที่จะให้คำตอบนี้ได้ดีที่สุด คือ เจฟฟรีย์ แซคส์ (Jeffrey Sachs) ศาสตราจารย์นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลก ผู้อำนวยการศูนย์การพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และอดีตที่ปรึกษาพิเศษของเลขาธิการ UN 3 สมัย ซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงวิชาการ ในฐานะนักวิชาการผู้เคยประกาศอย่างชัดเจนว่า ระเบียบโลกขั้วเดียว (Unipolar) ที่นำโดยสหรัฐอเมริกาได้สิ้นสุดแล้ว แต่นานาประเทศกำลังก้าวเข้าสู่โลกหลายขั้ว (Multipolar World) อย่างเต็มตัว
ประเด็นสำคัญ
และนี่คือสรุปเซสชันพิเศษจาก THE STANDARD Economic Forum 2025 โดย เคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหาร THE STANDARD ได้โอกาสสัมภาษณ์ศาสตราจารย์แซคส์ทางออนไลน์ เพื่อหาคำตอบถึงสถานการณ์ภาพรวมโลกในปัจจุบัน ระเบียบโลกที่เปลี่ยนไป และทิศทางในอีก 3 ปีข้างหน้าหลังจากนี้
ระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนไป และการผงาดขึ้นมาของจีน
‘โลกหลายขั้ว’ และ ‘การผงาดขึ้นมาของจีน’ (The Rise of China)
คือคำสำคัญที่ศาสตราจารย์แซคส์ให้กับ THE STANDARD โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์อธิบายว่า ขณะนี้ ระเบียบโลกขั้วเดียวที่นำโดยสหรัฐฯ และชาติตะวันตก ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว แต่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคหลายขั้วอำนาจ ซึ่งหมายถึงการมีมหาอำนาจหลักหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ, จีน, อินเดีย, รวมถึงชาติยุโรป หากสามารถจัดการระเบียบภายในได้ดีกว่านี้
การผงาดขึ้นมาของจีนได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งในแง่อำนาจ การเป็นผู้นำด้านการค้า และเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่ปัญหาสำคัญ คือ โลกยังไม่มีกติกาและกฎระเบียบที่ชัดเจนภายใต้ระเบียบใหม่ โดยเฉพาะระบบพหุภาคีนิยม (Multilateralism)
ศาสตราจารย์แซคส์มองว่า ต้นเหตุของภาวะสุญญากาศทางระเบียบโลก มาจากการที่สหรัฐฯ ยังยึดติดกับการเป็นเจ้าแห่งอำนาจนำในโลก ทำให้นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำประเทศคนปัจจุบัน พยายาม ‘ยัดเยียด’ เจตจำนงเหล่านี้ให้ชาติอื่นยอมรับ เช่น นโยบายกำแพงภาษี มาตรการคว่ำบาตร หรือการเข้าไปมีส่วนร่วมกับสงครามโดยตรง
‘ยักษ์ใหญ่’ ล้อมไทยและอาเซียน เดินเกมอย่างไรต่อ
ท่ามกลางสถานการณ์เปลี่ยนผ่านของระเบียบโลก อดีตที่ปรึกษาพิเศษของเลขาธิการ UN มองว่า ไทยและอาเซียนกำลังยืนอยู่ท่ามกลาง ‘สองยักษ์ใหญ่’ และสิ่งที่ภูมิภาคควรทำร่วมกัน คือ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐฯ และจีน
“ผมอยากจะบอกว่า ในทางภูมิศาสตร์แล้ว อาเซียนต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน อาเซียนและจีนต้องเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านการค้า การเงิน โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ การท่องเที่ยว และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะความเป็นเพื่อนบ้านกัน
“สหรัฐฯ ต้องการคงบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจไว้ในอาเซียนและเอเชีย แต่สหรัฐฯ อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ และไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยการบีบบังคับ”
แม้สหรัฐฯ ยังมีฐานทัพทั่วมหาสมุทรอินเดีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น แต่นั่นหมายถึงภัยคุกคามหรือความเสี่ยงในการเกิดความขัดแย้ง ซึ่งไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ทางการเมืองหรือเศรษฐกิจอันน่าพึงประสงค์ โดยศาสตราจารย์แซคส์มองว่า อาเซียนต้องบอกกับสหรัฐฯ ว่า ไม่ว่าอย่างไร ภูมิภาคต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน และไม่สามารถเลือกข้างเพื่อต่อต้านจีนได้ แม้จะเป็นความจริงที่วอชิงตันไม่อยากได้ยินก็ตาม
เมื่อถามว่า ไทยควรทำอย่างไร ศาสตราจารย์แซคส์อธิบายว่า เขาเชื่อในความเป็นกลาง แต่โชคไม่ดีที่สหรัฐฯ ไม่ชอบความเป็นกลาง และเขาไม่ได้บอกว่า ประเทศในอาเซียนควรเป็นพันธมิตรทางทหารกับจีน แต่จีนก็ไม่ใช่ภัยคุกคามโดยตรงต่อไทย
“ผมก็ไม่คิดว่า ไทยต้องเป็นพันธมิตรทางทหารกับจีนแต่อย่างใด แต่ถ้าสหรัฐฯ บอกกับไทยว่า ‘คุณต้องเลือก คุณต้องอยู่ข้างเรา’ นั่นคงเป็นไปไม่ได้
“ในทางกลับกัน อาเซียนควรจะบอกว่า ‘อย่าบังคับให้เราต้องเลือก’ เราชอบคุณ แต่เราก็อยู่ใกล้ชิดกับจีน เราจึงไม่ยอมรับแนวคิดที่ว่าเราต้องเลือกข้าง” ศาสตราจารย์แซคส์ระบุ
สำหรับประเด็นคำวิจารณ์ว่าด้วยเรื่องจีนทุ่มตลาด จนกระทบผู้ประกอบการทั้งไทยและอาเซียน ศาสตราจารย์แซคส์ไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวหาข้างต้น เพราะจริงๆ แล้ว จีนกำลังพัฒนาศักยภาพทางอุตสาหกรรมมหาศาล และอาเซียนต้องการศักยภาพดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่มีให้
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจีน ต้องมาเผชิญกับนโยบายกีดกันทางการค้าในสหรัฐฯ ดังนั้น แทนที่จะส่งออกไปยังสหรัฐฯ ตอนนี้จีนจึงเล็งไปที่ตลาดในที่อื่นๆ แทน อาเซียนจะเป็นตลาดที่สำคัญมาก”
นอกจากนี้ ศาสตราจารย์แซคส์มองว่า อาเซียนจะได้ประโยชน์จากการร่วมมือทางด้านพลังงานกับจีน ซึ่งภูมิภาคต้องการพลังงานหมุนเวียนที่รองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ต่างจากสหรัฐฯ ที่ไม่มีศักยภาพเทียบเท่าจีนโดยสิ้นเชิง
“สหรัฐฯ อิจฉาศักยภาพของจีนในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เซลล์แสงอาทิตย์ กังหันลม ไปจนถึงการผลิตพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็กในระบบพลังงานนิวเคลียร์รุ่นที่สี่
“สหรัฐฯ อิจฉาในเรื่องนี้ก็เพราะตัวเองทำไม่ได้ และนั่นจึงเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ โจมตีจีนด้วยเหตุผลที่ในมุมมองของผมแล้วฟังไม่ขึ้น”
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในแง่ความมั่นคงของไทย อดีตที่ปรึกษาพิเศษของเลขาธิการ UN มองว่า กัมพูชาไม่ควรกลายเป็นฐานทัพของจีน ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดสำหรับ 2 ประเทศ เพราะอาเซียนควรมีหลักการไม่มีฐานทัพต่างชาติในภูมิภาค ก่อนจะทิ้งท้ายว่า เขาอยากเห็นฐานทัพสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์ค่อยๆ ยุติบทบาท และจีนไม่ควรมีฐานทัพใดๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน
ผ่าทางออกของประเทศไทย รุกอย่างไรให้กลับไปอยู่ในจอเรดาร์โลก
‘ไทยต้องกลับมาอยู่จอเรดาร์โลก’ คือโจทย์สำคัญสำหรับอนาคตของประเทศ ไปจนถึงการวางยุทธศาสตร์เชิงรุกทางเศรษฐกิจในวันที่ประเทศมีรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งศาสตราจารย์แซคส์ มองทางออกของประเทศไทยได้ 3 ประเด็นดังต่อไปนี้
- การบูรณาการตนเองเข้ากับภูมิภาค (Regional Integration) โดยศาสตราจารย์แซคส์วิเคราะห์ว่า ไทยควรมองอนาคตทางเศรษฐกิจภายในอาเซียน และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) รวมถึงประเทศอื่นๆ อย่างจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์
นอกจากนี้ ไทยยังมีข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจและภูมิศาสตร์สูง เช่น เป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีอุตสาหกรรมมากมาย ประเทศสวยงาม อยู่ใจกลางอาเซียน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในโลก ท่ามกลางบริบทโดยรอบที่เอื้ออำนวย เช่น ภาวะเศรษฐกิจขยายตัวในอินเดีย ซึ่งไทยจะได้รับประโยชน์อย่างมาก
- การมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์มองว่า เอเชียตะวันออกเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอุตสาหกรรมสีเขียว ขณะที่อาเซียนต้องเชื่อมโยงเข้าด้วยกันผ่านระบบไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งมีความจำเป็นต่อถึงการลงทุนจำนวนมหาศาล และโอกาสจากเทรนด์แห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์ หรือพลังงานสะอาด
- การยกระดับทักษะและนวัตกรรม (Upgrading Skills & Innovation) ศาสตราแซคส์ระบุว่า เป้าหมายทุกอย่างจะเป็นจริงได้ ไทยและอาเซียนต้องยกระดับการศึกษา และปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นย้ำเสาหลักอย่างวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการพัฒนา AI และเกษตรกรรมขั้นสูง
กล่าวโดยสรุป ไทยต้องยืนหยัดใน ‘ความเป็นกลางเชิงรุก’ (Proactive Neutrality) โดยยึดผลประโยชน์ของภูมิภาคเป็นที่ตั้ง และปฏิเสธการถูกบีบให้เลือกข้าง ขณะที่ต้องเน้นย้ำการพัฒนา 3 เสาหลักข้างต้นอย่างชัดเจน
เพราะความท้าทายที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่มหาอำนาจภายนอก แต่อยู่ที่ความพร้อมและความสามารถในการปรับตัวของเรา


