วันนี้ (4 พฤศจิกายน) พล.ต.ท. จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้กล่าวถึงผลการหารือเบื้องต้นในการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 (The 43rd ASEANAPOL Conference) เกี่ยวกับปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ว่า ได้มีการพูดคุยกับรองผู้บัญชาการตำรวจกัมพูชา ซึ่งได้ยืนยันว่า ตำรวจกัมพูชาได้ตั้ง 2 ทีมใหญ่ขึ้นมาเพื่อกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์
พล.ต.ท. จิรภพ กล่าวว่า จะพยายามประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานของกัมพูชาตามข้อตกลง 4 ข้อที่นายกรัฐมนตรีลงนามไว้ โดยประเด็นสแกมเมอร์เซ็นเตอร์นี้ ไม่ใช่เพียงไทยเท่านั้นที่ต้องการหารือ แต่เป็นเรื่องหลักที่ทุกประเทศร้องขอและต้องการพูดคุย ทั้งสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และจีน ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ต้องดำเนินการในระดับโลก
ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ตนต้องการพูดคุยกับกัมพูชาอย่างเป็นทางการในประเด็นการ ส่งตำรวจไทยเข้าไปประจำอยู่ในประเทศกัมพูชาเพื่อสังเกตการณ์ รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่มีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์และอาชญากรรมออนไลน์ โดยเชื่อว่าการส่งเจ้าหน้าที่ไปทำงานใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และแลกเปลี่ยนข้อมูลในการลงพื้นที่ จะเป็นประโยชน์มากกว่าการสังเกตการณ์อยู่ฝั่งประเทศไทยเพียงอย่างเดียว
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ในการส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตการณ์ พล.ต.ท. จิรภพ ตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า ถูกหลอกก็ต้องยอม เราก็ต้องสู้ เราจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้ และย้ำว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอันดับหนึ่งของทุกประเทศในขณะนี้ หากกัมพูชาไม่ให้ความร่วมมือ จะต้องใช้สังคมโลกกดดัน
พล.ต.ท. จิรภพ ยืนยันว่า ในประเทศไทยนั้น ไม่มีสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ มีเพียงรายย่อย ๆ ที่แอบทำ และพร้อมจับกุมทันทีเมื่อได้รับข้อมูลจากทั้งหน่วยงานในประเทศและตำรวจต่างประเทศ
สำหรับความเชื่อมั่นต่อกัมพูชา ผู้ช่วย ผบ.ตร. ยอมรับว่าถึงแม้เคยผิดหวัง แต่เชื่อว่ารอบนี้สังคมโลกเห็นชัดว่าศูนย์สแกมเมอร์อยู่ที่ใด และหวังว่าพลังของนานาประเทศจะทำให้กัมพูชาร่วมมือในที่สุด
ส่วนประเด็นที่อาจถูกมองว่าเป็นการนำความลับไปชี้เป้าให้กัมพูชา และเกรงว่าความร่วมมือจะไม่เกิดขึ้นนั้น พล.ต.ท. จิรภพ ระบุว่า จะใช้วิธีส่งไปทีละเป้า และจะดูจากผลปฏิบัติเป็นหลัก หากไม่สำเร็จก็จะไม่ส่งข้อมูลเพิ่ม โดยย้ำว่าทุกการดำเนินการจะทำอย่างเร็วที่สุด


