×

เกิดอะไรขึ้นที่ไนจีเรีย ทำไมทรัมป์ถึงสั่งกองทัพสหรัฐฯ เตรียมแทรกแซงหากจำเป็น

03.11.2025
  • LOADING...
เกิดอะไรขึ้นที่ ไนจีเรีย ทำไม ทรัมป์ ถึงสั่ง กองทัพสหรัฐฯ เตรียมแทรกแซงหากจำเป็น

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเผยว่า เพนตากอนอาจส่งกองกำลังทหารเข้าประจำการในไนจีเรียหรือดำเนินการโจมตีทางอากาศหากจำเป็น โดยคำขู่ดังกล่าวเกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่รัฐบาลของทรัมป์ได้เพิ่มไนจีเรียกลับเข้าไปในรายชื่อ ‘ประเทศที่น่ากังวลเป็นพิเศษ’ (Countries of Particular Concern) ซึ่งเป็นรายชื่อประเทศที่สหรัฐฯ ระบุว่า มีการละเมิดเสรีภาพทางศาสนา ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในรายชื่อนี้ ได้แก่ จีน เมียนมา เกาหลีเหนือ รัสเซีย และปากีสถาน

 

ทำไมทรัมป์ขู่เตรียมแทรกแซงไนจีเรีย

 

ทรัมป์อ้างว่า ขณะนี้มีการสังหารชาวคริสต์เป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์ในไนจีเรีย และเขาจะไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ทรัมป์จึงขู่ว่า สหรัฐฯ อาจดำเนินการทางทหารอย่างรวดเร็ว หากไนจีเรียไม่สามารถหยุดยั้งและปราบปรามการสังหารชาวคริสต์ได้

 

ท่าทีของไนจีเรียและการปฏิเสธข้อกล่าวหา

 

ไนจีเรียตอบกลับคำขู่ของทรัมป์ โดยกล่าวว่า ยินดีรับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ในการต่อสู้กับกลุ่มก่อความไม่สงบอิสลามิสต์ ตราบใดที่ยังคงมีการเคารพต่อบูรณภาพแห่งดินแดนของตน

 

รัฐบาลไนจีเรียได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า พวกเขาไม่ได้ยับยั้งการใช้ความรุนแรงต่อชาวคริสต์มากพอ โดยโบลา ทินูบู ประธานาธิบดีไนจีเรียปฏิเสธว่า ไนจีเรียไม่ใช่ประเทศที่ไม่ยอมรับความแตกต่างทางศาสนา คำกล่าวอ้างดังกล่าวไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของไนจีเรีย ทั้งยังยืนยันว่า รัฐบาลพยายามปกป้องเสรีภาพทางศาสนาและความเชื่อ สำหรับชาวไนจีเรียทุกคนอย่างจริงใจและสม่ำเสมอ

 

ขณะที่ แดเนียล บวาลา ที่ปรึกษาประธานาธิบดีไนจีเรียกล่าวว่า ประเทศไนจีเรียไม่ได้เลือกปฏิบัติกับชนเผ่าหรือศาสนาใดๆ ในการต่อสู้กับความไม่มั่นคง และยืนยันว่า “ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวคริสต์ในไนจีเรีย”

 

นอกจากนี้ที่ปรึกษาประธานาธิบดีไนจีเรียยังพยายามลดความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศ แม้ว่าทรัมป์จะเคยเรียกไนจีเรียว่าเป็น ‘ประเทศที่เสื่อมเสียเกียรติ’ ก็ตาม โดย บวาลา ระบุว่า เราไม่ถือสาตามตัวอักษร เพราะเรารู้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์มีความคิดที่ดีต่อไนจีเรีย

 

เขายังมั่นใจว่า เมื่อผู้นำทั้งสองได้พบและนั่งคุยกันแล้ว จะมีผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้าย

 

เกิดอะไรขึ้นที่ไนจีเรีย

 

ในบริบทและความซับซ้อนของความรุนแรงนั้น ไนจีเรียซึ่งมีประชากรกว่า 200 ล้านคน และมีกลุ่มชาติพันธุ์ราว 200 กลุ่ม ถูกแบ่งออกเป็นภาคเหนือที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และภาคใต้ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคริสเตียน

 

ขณะที่กลุ่มก่อความไม่สงบอิสลามิสต์ เช่น โบโก ฮาราม (Boko Haram) และ รัฐอิสลาม-จังหวัดแอฟริกาตะวันตก (Islamic State-West Africa Province: ISWAP) ที่ประกาศตนเป็นหน่วยบริหารและกลุ่มติดอาวุธในเครือของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS หรือ ISIS) ได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในไนจีเรียมานานกว่า 15 ปี และสังหารผู้คนไปแล้วหลายพันคน แต่การโจมตีส่วนใหญ่มักจำกัดอยู่ใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

 

ที่ผ่านมา ISWAP ถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่ร้ายแรงที่สุดต่อไนจีเรียและต่อเสถียรภาพทั่วภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการโจมตีเป้าหมายทางทหารและพลเรือน รวมถึงชุมชนชาวคริสต์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาโดยประธานาธิบดีทรัมป์

 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีชาวคริสเตียนถูกสังหารด้วย แต่เหยื่อส่วนใหญ่กลับเป็นชาวมุสลิมเอง โดย แลดด์ เซอร์วัต นักวิเคราะห์อาวุโสจาก ACLED ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐฯ ที่รวบรวม วิเคราะห์ และจัดทำแผนที่ข้อมูลเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมือง และการประท้วงทั่วโลกระบุว่า กลุ่มก่อความไม่สงบมักนำเสนอภาพแคมเปญที่ต่อต้านชาวคริสต์ แต่ในทางปฏิบัติ ความรุนแรงของพวกเขาเป็นไปอย่าง ‘ไม่เลือกปฏิบัติ’ และทำลายชุมชนทั้งหมด

 

ความรุนแรงในไนจีเรียมีความซับซ้อนอย่างมาก ทั้งที่เกี่ยวข้องกับอำนาจทางการเมือง ข้อพิพาทเรื่องที่ดิน ชาติพันธุ์ ลัทธิความเชื่อ และการปล้นสะดม อีกทั้งยังมีการปะทะกันบ่อยครั้งระหว่างคนเลี้ยงสัตว์ที่เป็นมุสลิมกับเกษตรกรที่เป็นคริสเตียนในภาคกลางของไนจีเรียอีกด้วย

 

งานวิจัยของ ACLED แสดงให้เห็นว่า จากการโจมตีพลเรือน 1,923 ครั้งในปีนี้ มีเพียง 50 ครั้งเท่านั้นที่พุ่งเป้าไปที่ชาวคริสต์ เนื่องจากปัจจัยด้านศาสนาของพวกเขา นอกจากนี้ ข้อกล่าวอ้างที่เผยแพร่ในกลุ่มฝ่ายขวาจัดบางกลุ่มในสหรัฐฯ ที่ว่ามีชาวคริสต์ในไนจีเรียถูกสังหารมากถึง 100,000 คนตั้งแต่ปี 2009 นั้น ‘ไม่สอดคล้องกับชุดข้อมูลที่มีอยู่’

 

ความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นจากปฏิบัติการทหาร

 

หากกองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจเปิดปฏิบัติการทหารหรือเข้าแทรกแซงไนจีเรีย ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงมองว่า การโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯ อาจต้องมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายเล็กๆ ที่กระจัดกระจายไปในหลายพื้นที่ของไนจีเรีย รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ซึ่งภารกิจนี้อาจจะยากขึ้นอีก หลังสหรัฐฯ ตัดสินใจถอนกองทัพออกจากไนเจอร์ หนึ่งในประเทศที่มีพรมแดนติดทางตอนเหนือของไนจีเรียโดยสมบูรณ์ เมื่อปี 2024

 

นอกจากนี้ การที่ กลุ่มติดอาวุธสามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างไนจีเรียกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะแคเมอรูน ชาด และไนเจอร์ได้นั้น ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สหรัฐฯ อาจต้องการความช่วยเหลือจากกองทัพและรัฐบาลไนจีเรีย ซึ่งเป็นฝ่ายที่ทรัมป์เคยขู่ว่าจะตัดความช่วยเหลือออกไป

 

ทางด้าน ผศ.ดร.ประพีร์ อภิชาติสกล อาจารย์ประจำหลักสูตรนิติศาสตรบัณฑิต คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองว่า หากทรัมป์และกองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจแทรกแซงไนจีเรีย อาจถูกตั้งคำถามถึง ‘ความชอบธรรม’ อีกทั้งการแทรกแซงด้านมนุษยธรรม (Humanitarian Intervention) ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในระดับนานาชาติ

 

อาจารย์ประพีร์ระบุว่า ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศในปัจจุบัน การกระทำเช่นนี้อาจยังไม่สามารถทำได้ และถือเป็นการละเมิดกฎบัตรของสหประชาชาติ (UN) ซึ่งห้ามการใช้กำลังอยู่แล้ว หากไม่มีข้อยกเว้นที่ชัดเจน ที่ผ่านมาสหรัฐฯ เคยเข้าแทรกแซงประเทศอื่นๆ ในอดีตมาแล้วหลายครั้ง เช่น บอสเนียและโคโซโว

 

อย่างไรก็ตาม บางกรณีที่มีการแทรกแซงโดยชอบธรรมเกิดขึ้นได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ประเทศนั้นร้องขอความช่วยเหลือเอง (Intervention by Invitation) ซึ่งกรณีของไนจีเรียอาจยังไม่เข้าข่ายคุณลักษณะนี้

 

อีกทั้งข้อมูลหลักฐานที่ใช้ประกอบคำกล่าวอ้างของทรัมป์เกี่ยวกับการสังหารชาวคริสต์จำนวนมากในไนจีเรียก็ยังไม่แน่ชัด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความชอบธรรมของการแทรกแซงนี้ และยังมีความไม่แน่นอนสูงมากว่า ทรัมป์จะตัดสินใจเข้าแทรกแซงจริงๆ หรือไม่ หรือเป็นเพียงคำขู่ เพื่อเป้าหมายบางอย่างเท่านั้น

 

อาจารย์ประพีร์ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมา ทรัมป์เป็นบุคคลที่ทำอะไรโดยมีเป้าหมายและผลประโยชน์เสมอ หากเขาดำเนินการใดๆ ต้องมีผลประโยชน์บางอย่างแอบแฝงอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ทรัมป์ต้องการช่วยเหลือชาวคริสต์ในไนจีเรีย หรือต้องการกวาดล้างกลุ่มก่อการร้ายในไนจีเรียมากน้อยแค่ไหน หรือแท้จริงแล้วเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ในประเด็นอื่นๆ

 

นักวิชาการจำนวนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า ความพยายามที่จะแทรกแซงไนจีเรียครั้งนี้ อาจเกี่ยวพันกับทรัพยากรธรรมชาติที่ล้ำค่าอย่าง ‘แร่หายาก’ หรือ ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ (Rare Earth) ในไนจีเรีย โดยรายงานของสำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US Geological Survey) เมื่อเดือนมกราคม 2025 บ่งชี้ว่า ไนจีเรียเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแร่แรร์เอิร์ธจำนวนมาก ทั้งยังเป็นประเทศผู้ผลิตแร่แรร์เอิร์ธ อันดับ 4 ของโลกที่ 13,000 เมตริกตัน ร่วมกับไทยและออสเตรเลีย เมื่อปี 2024

 

อาจต้องจับตาดูกันต่อว่า ทรัมป์ต้องการสนับสนุนสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา ช่วยเหลือชาวคริสต์ กวาดล้างกลุ่มก่อการร้าย หรือทรัมป์ต้องการอะไรกันแน่ในไนจีเรีย

 

แฟ้มภาพ: Getty Images / Shutterstock

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising