วันนี้ (30 ตุลาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดให้รัฐบาลเร่งส่งคำถามการทำประชามติภายใน 75 วัน ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าว่า “ไม่ใช่ 75 วัน แต่รัฐบาลใช้กรอบเวลา 60 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด” เนื่องจากร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้เริ่มจัดทำในรูปแบบที่ชัดเจน
ทั้งนี้ ในประเด็นเรื่อง บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก (MOU 2543) และ บันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน (MOU 2544) รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รับฟังความคิดเห็น โดยก่อนหน้านี้ได้มีการประชุมภายในไปแล้วครั้งหนึ่ง และจะมีการเชิญนักวิชาการที่มีความรู้จริง (ไม่ใช่ “กูรู” ในสื่อ) มาหารือร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ดังนั้น จึงยังไม่สามารถบอก กกต. ได้ว่า คำถามจะแล้วเสร็จเมื่อใดตามที่ กกต. เคยปรารถนา
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตนเองและเลขาธิการ กกต. จะหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และให้ข้อมูลที่ประชาชนเข้าใจง่ายที่สุด โดยรัฐบาลจะเปิดเวทีสาธารณะและอำนวยความสะดวก เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แต่จะไม่เป็นผู้จัดเวทีเอง โดยจะขอความร่วมมือจาก สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา (ส.ว.) และพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ให้เป็นผู้จัดเวทีหลัก รวมถึงสื่อต่าง ๆ เพื่อขยายช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง และป้องกันไม่ให้ถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลชี้นำ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า กกต. ขอให้ส่งคำถามประชามติภายในวันที่ 17 มกราคม 2569 ในส่วนของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาฯ จะต้องส่งให้คณะรัฐมนตรีภายในวันที่เท่าใดจึงจะทัน ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ กล่าวว่า กกต.ได้แสดงความประสงค์ของตนแล้ว แต่ตามกฎหมายกำหนดให้ดำเนินการภายใน 60 วันก่อนการจัดประชามติ โดยรัฐบาลจะพยายามเอื้อให้เป็นไปตามที่ กกต. ปรารถนาให้มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ทุกขั้นตอน เช่น การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านวาระสามหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ หากร่างดังกล่าวไม่ผ่าน ก็ถือว่ากระบวนการสิ้นสุด แต่หากผ่านแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนการตั้งคำถามประชามติ ซึ่งรัฐบาลจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางที่เหมาะสม และดำเนินการโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศ


