กระทรวงการคลัง มั่นใจมาตรการรัฐ ดันเศรษฐกิจพ้นหล่ม ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 โต 2.4% ถือเป็นตัวเลขที่สูงกว่าสำนักวิจัยหลายแห่ง พร้อมคาด GDP ปี 2569 จ่อแผ่วลง เหลือขยายตัว 2.0% จากการส่งออกที่ชะลอตัวลง
วันนี้ (30 ตุลาคม) วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง อัปเดตประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 จะขยายตัวที่ 2.4% สูงกว่าประมาณการครั้งก่อน เมื่อกรกฎาคม ที่ 2.2% เหตุมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงปลายปีและการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ปี 2569 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวชะลอลงที่ 2.0% เนื่องจากมีการเร่งส่งออก (Front-Loading) ในปี 2568 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ขยายตัวได้ดี
ทั้งนี้ ตัวเลขประมาณการของ สศค. นับว่ามากสุดเมื่อเทียบกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประมาณการ GDP ปี 2568 ไว้ที่ 2.2% และปีต่อไปที่ 1.6% รวมไปถึงตัวเลขประมาณการของธนาคารโลก (World Bank) ที่ 2.0% สำหรับปี 2568 และ 1.8% สำหรับปี 2569 ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อยู่ที่ 2.0% ในปี 2568 และ 1.6% ในปีต่อไป

เปิดปัจจัยสนับสนุน คาดการณ์ GDP ปี 2569
1. ภาคการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ประกอบกับจะมีการจัดงานสำคัญต่าง ๆ เช่น งานมหกรรมพืชสวนโลกปี 2569 และการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลก (World Bank Group – WBG) ประจำปี
2. การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวได้ดี โดยคาดว่าจะขยายตัวได้ที่ 2.4% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.9% ถึง 2.9%)
3. การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 3.0% (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.5% ถึง 3.5%) จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายและลงทุนของภาครัฐ
4. ขณะที่คาดว่าการบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 1.6% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.1% ถึง 2.1%) และการลงทุนภาคเอกชนคาดขยายตัวที่ 1.7% (ช่วงคาดการณ์ที่ 1.2% ถึง 2.2%) ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย
5. ด้านเสถียรภาพภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.5% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ที่ 0.0% ถึง 1.0%) ตามทิศทางอุปสงค์ภายในประเทศที่ขยายตัวดี ขณะที่เสถียรภาพภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 15.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.5% ของ GDP (ช่วงคาดการณ์ที่ 2.0% ถึง 3.0% ของ GDP)
เปิดปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาในปีหน้า
1. นโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น
2. ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
3. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
4. ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชนและ SMEs
5. การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐฯ”
เชื่อมาตรการ ‘Quick Big Win’ ช่วยเศรษฐกิจพ้นติดหล่ม
โฆษกกระทรวงการคลังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 มีโอกาส ‘พ้นจากรถติดหล่ม’ และเป็นจุด ‘Turning Point’ หลังชุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทยอยเดินหน้าเต็มรูปแบบ โดยมาตรการหลักที่คาดว่าจะหนุนการใช้จ่ายประกอบด้วย
- บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 22,780 ล้านบาท
- โครงการคนละครึ่ง พลัส รัฐสนับสนุน 44,000 ล้านบาท
- มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว (5 มาตรการย่อย)
- มาตรการ Front Load ของกระทรวงการคลัง
มาตรการดังกล่าวคาดว่าจะทำให้ภาวะเศรษฐกิจไตรมาส 4 ‘ดีกว่า’ ประมาณการของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งก่อนหน้านี้ประเมินการเติบโตอยู่ที่ 0.3%
ด้านประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ล่าสุด กระทรวงการคลังประเมินว่า ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวได้ราว 1.8% โดยตัวเลขไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะใกล้เคียงกับที่ สศช. ประเมินไว้ จึง “มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิน 1%” สำหรับการเติบโตในไตรมาสที่ 4
ทั้งนี้ วินิจระบุว่า มาตรการกระตุ้นด้านการบริโภคเริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ที่มียอดการใช้จ่ายสะสมแล้ว 2,267 ล้านบาท ณ เวลา 10.00 น. ของวันที่ 30 ตุลาคม และเชื่อว่ามาตรการอื่นๆ ที่ออกตามมา ก็จะได้รับผลตอบรับในลักษณะเดียวกัน
อาจพิจารณามาตรการเพิ่ม หนุนการส่งออก
สำหรับการออกมาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น วินิจกล่าวว่า จำเป็นต้องพิจารณาภาวะเศรษฐกิจโลก ควบคู่กับมาตรการภาษีการค้าของสหรัฐฯ ที่ยังคงไม่แน่นอน ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณามาตรการเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการส่งออก
“ก็พยายามจะหามาตรการที่จะจัดการเรื่องนี้อยู่ แล้วก็เร่งกันในเรื่องของการส่งออกครับ” วินิจกล่าว
บรรยากาศระหว่างไทยสหรัฐฯ ที่นายกบอกว่าดีขึ้น
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงทิศทางเศรษฐกิจไทยภายใต้บรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างไทยและสหรัฐฯ ตามที่นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล เปิดเผยหลังการพูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ แบบไม่เป็นทางการ ระหว่างการประชุม APEC นั้น
วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า บรรยากาศเชิงบวกดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่น และถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อเศรษฐกิจไทย แต่ยังต้องติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ในหลายด้าน
“อย่างน้อยในเรื่องของความเชื่อมั่นต้องดีขึ้นแน่ครับ แต่คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะยังมีความไม่แน่นอนหลายส่วน และต้องรอความชัดเจนเรื่องภาษีการค้าครับ” วินิจกล่าว
เงินเฟ้อไทยอาจติดลบ ยาวถึงไตรมาส 2 ปีหน้า แต่ไม่เข้าเงื่อนไข ‘เงินฝืด’
วินิจ ระบุว่า ภาพรวมเงินเฟ้อปีนี้ยังติดลบเล็กน้อย โดยตัวเลขเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี (YTD) อยู่ที่ประมาณ -0.01% ขณะที่จากการประชุมกับ ธปท. เมื่อสัปดาห์ก่อน มีสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้ออาจติดลบต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 2 ปีหน้า ส่งผลให้ทั้งปีนี้และปีหน้ามีโอกาสไม่แตะกรอบล่างเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1%
อย่างไรก็ดี แม้เงินเฟ้อติดลบยาว แต่วินิจชี้ว่ายังไม่เข้าเงื่อนไขภาวะเงินฝืด (Deflation) เนื่องจากนิยามภาวะเงินฝืดต้องประกอบด้วยการชะลอตัวของ GDP และกำลังซื้อที่ลดลงพร้อมกัน ซึ่งขณะนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรมาส 4 ยังช่วยพยุงอุปสงค์ในระบบ ทำให้การลดลงของราคาเป็นลักษณะ ‘cost effect’ มากกว่าจะสะท้อนภาวะเศรษฐกิจหดตัว
โฆษกกระทรวงการคลังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงการคลังจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินนโยบายการคลังภายใต้แนวคิด ‘กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว’ หรือ ‘Quick Big Win’ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งในระยะสั้นและยังคำนึงถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความยั่งยืนในระยะยาว
โดยกำหนดการดำเนินงานเป็น 5 เสาหลัก ประกอบด้วย 1) การกระตุ้นเศรษฐกิจ 2) การลดภาระประชาชน โดยเฉพาะการแก้หนี้เสียภาคครัวเรือน (NPL) 3) การส่งเสริมธุรกิจ SMEs 4) เพิ่มการออมภาคประชาชน และ 5) การลงทุนเพื่ออนาคต นอกจากนี้ ต้องวางรากฐานทางการคลังเพื่อสร้างความมั่นคง ยั่งยืน เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต


