เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ทำเนียบขาวได้เปิดเผยแถลงการณ์ร่วม ‘กรอบความตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนระหว่างสหรัฐฯ และประเทศไทย’ (Joint Statement on Framework for United States–Thailand Agreement on Reciprocal Trade) โดยมีใจความสำคัญหลัก ดังนี้
ไทยจะยกเลิกกำแพงภาษีหรือเปิดตลาด (Market Access) ให้สินค้าสหรัฐฯ ประมาณ 99% สูงกว่าที่รัฐบาลสื่อสารก่อนหน้าที่ระดับราว 90% โดยครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม อาหาร และเกษตร เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ จะคงอัตราภาษี (Reciprocal Tariff) ต่อสินค้าไทยไว้ที่ 19% แต่จะกำหนดสินค้าบางรายการให้ได้รับอัตราภาษี 0% (ไม่ถูกเรียกเก็บ Reciprocal Tariff) ไว้ในภาคผนวก III (Annex III)
นอกจากนี้ ไทยตกลงที่จะแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) ที่กระทบการส่งออกของสหรัฐฯ ขณะที่ในด้านสินค้าเกษตร ไทยจะต้องเร่งแก้ไขอุปสรรคและเพิ่มการเข้าถึงตลาดให้สินค้าเกษตรและอาหารของสหรัฐฯ เช่น เนื้อสัตว์และสัตว์ปีกที่ได้รับการรับรองโดย FSIS
พร้อมทั้งจะเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระดับชาติ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Resilience) และรับมือกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศที่สาม
โดยไทยยังต้องซื้อสินค้าเกษตร (มูลค่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปี) พลังงาน (มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี) และการบิน (จัดซื้อเครื่องบินสหรัฐฯ 80 ลำ มูลค่า 18.8 พันล้านดอลลาร์) อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ ได้ชี้แจงว่า การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ในสัดส่วน 99% นี้จะมีเวลาให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบปรับตัว ยกตัวอย่างเช่น สินค้าเกษตรที่จะไม่เปิดตลาดในทันทีและยังมีระบบโควตาด้วย นอกจากนี้ จะพยายามเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มรายการสินค้าเข้าไปในภาคผนวก (Annex III) เพื่อขอยกเว้นอัตราภาษี (Reciprocal Tariff) ที่ 19% ดังกล่าว เพิ่มเติมด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง:
- ‘เอกนิติ’ แจงปมเปิดตลาดให้สหรัฐฯ 99% เป็นกรอบกว้างๆ ยืนยันมีเวลาให้ปรับตัว…
- สหรัฐฯ-ไทย บรรลุ ‘กรอบการค้าต่างตอบแทน’ ไทยยกเลิกภาษี 99% พร้อมดีลพลังงาน…
- ไทยมี แร่แรร์เอิร์ธ? ไขคำตอบ ‘แร่หายาก’ หลังปมร้อน MOU ‘ไทย-สหรัฐฯ’
CIMB ห่วงเปิดตลาดสหรัฐฯ กระทบผู้ผลิตไทยระยะสั้น มองระยะยาวดีต่อเศรษฐกิจ
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB Thai) ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยระบุว่า การประเมินผลกระทบจากการเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 90% เป็น 99% จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของรายการสินค้าที่ถูกเพิ่มเข้ามาก่อน
อย่างไรก็ตาม การเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอาจทำให้สินค้าจากสหรัฐฯ ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศอาจไม่สามารถแข่งขันได้ในระยะสั้น แต่ในระยะยาว ดร.อมรเทพมองว่า การเปิดตลาดในลักษณะนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย พร้อมแนะให้รัฐบาลออกมาตรการเพื่อช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว ควบคู่กัน
โดยในระยะสั้น หรือในช่วงแรกของการเปิดตลาดใหม่ ที่ผู้ผลิตในประเทศอาจได้รับผลกระทบ เช่น ยอดขายตก ควรต้องได้รับการช่วยเหลือเพื่อปรับตัว โดยรัฐบาลควรมีจะมาตรการชดเชยรายได้ให้ผู้ผลิตในประเทศที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรชดเชยรายได้ที่หายไปในส่วนเท่าที่ ‘จำเป็น’ เท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องชดเชยเต็มจำนวน เนื่องจากต้องพิจารณาจากงบประมาณที่จำกัด
ส่วนในระยะกลางและยาว รัฐบาลควรหนุนให้ผู้ประกอบการ พัฒนาสินค้าให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น มีต้นทุนที่ลดลง และมีมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมถึงการรณรงค์และส่งเสริมให้ผู้บริโภคใช้สินค้าไทยที่ผลิตในประเทศด้วย
‘สินค้าสหรัฐฯ’ จ่อทะลักเข้าไทย น่ากลัวแค่ไหนเทียบ ‘สินค้าจีน’?
ดร.อมรเทพ กล่าวว่า การเข้ามาตลาดไทยเพิ่มขึ้นของสินค้าสหรัฐฯ จะต้องกระทบสินค้าไทยอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ดร.อมรเทพชี้ว่า ลักษณะของสินค้าจากสหรัฐฯ ต่างจากสินค้าจีน ผลกระทบจึงมีความแตกต่างกัน
พร้อมอธิบายต่อว่า สินค้าจีนมีลักษณะเป็นสินค้าราคาต่ำ และสามารถทดแทนสินค้าไทยจำนวนมากได้ ‘จึงมีความน่ากังวลมากกว่า’ และยังกระทบกับ SME เป็นหลัก
ขณะที่สินค้าสหรัฐฯ มีลักษณะ 2-3 ประเภท ได้แก่ (1) สินค้าที่สามารถเข้ามาแย่งตลาดไทยได้เช่นเดียวกับสินค้าจีน (2) สินค้าที่จะเข้ามาเป็นวัตถุดิบ เช่น ข้าวโพด เพื่อผลิตอาหารสัตว์ และ (3) สินค้าเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยต้องการ และสามารถเป็นฐานในการต่อยอดการพัฒนาได้เพิ่มเติม
ดร.อมรเทพ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผลการเจรจาวันนี้ ไม่ได้บอกว่า เราเจรจากับสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งสำคัญที่อยากได้มากกว่านี้คือ การผ่อนคลายมาตรการลงทุนเพิ่มเติม เนื่องจากวันนี้ สิ่งที่ประเทศไทยต้องการไม่ใช่ต้องการสินค้า แต่เราต้องการการลงทุนในประเทศให้มากขึ้น ทั้งจากจีน จากสหรัฐฯ จากยุโรป จากหลากหลายประเทศ”
ถ้ามองดูว่า อุปสรรคสำคัญไม่ใช่เพียงจากกฎระเบียบการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากมาตรการภาษี แต่เราต้องการการผ่อนคลายในหลากหลายส่วน เพื่อให้ดึงดูดการลงทุนต่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทยได้”

KKP วิเคราะห์ ‘แถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐฯ’ สะท้อนสหรัฐฯ กำลังกดดันไทยรอบทิศ
ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) มองว่า แม้แถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และไทย (a Framework for an Agreement on Reciprocal Trade) จะค่อนข้างสอดคล้อง (In-Line) กับที่สิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วสื่อสารหรือเจรจามา
กระนั้น ดร.พิพัฒน์ ยังมองว่า แถลงการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า สหรัฐฯ พยายามกดดันไทยมากขึ้นทุกทาง ไม่ใช่แค่การเพิ่มสัดส่วนการเปิดตลาด (Market Access) จาก 90% เป็น 99% เท่านั้น แต่ยังมีประเด็นเรื่องแร่ Rare Earth และอื่นๆ ด้วย
ทั้งนี้ ‘ไทย-สหรัฐฯ’ เพิ่งลงนามใน ‘MOU แร่ธาตุสำคัญ’ ที่มีชื่อเต็มว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลสหรัฐอเมริกา กับ รัฐบาลราชอาณาจักรไทย ว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญระดับโลก และส่งเสริมการลงทุน
ห่วงสหรัฐฯ กำหนดเกณฑ์ Chinese Content ในเกมอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์
สำหรับประเด็นเรื่องอัตราภาษีสำหรับสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่สหรัฐฯ ยังไม่ได้กำหนดนั้น ดร.พิพัฒน์ ประเมินว่า สหรัฐฯ น่าจะใช้ ‘สัดส่วนมูลค่าการผลิตภายในภูมิภาค’ (Regional Value Content) หรือ RVC มากกว่าเกณฑ์สัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content)
มากกว่านั้น ดร.พิพัฒน์ยังมองว่า มีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจจะใช้หลักเกณฑ์ที่ว่า ‘สินค้าที่ส่งไปสหรัฐฯ ต้องมีสัดส่วนการผลิตจากประเทศใดประเทศหนึ่งเท่าไหร่ ‘(Individual Content Limit) ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า สหรัฐอาจจะกำหนดเกณฑ์สัดส่วนการผลิตจาก ‘จีน’ โดยเฉพาะ (Chinese Content)

KResearch เตือนส่งออกไทยยังเหนื่อย แม้สหรัฐฯ คงภาษีตอบโต้ 19%
เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH โดยมองว่า กรอบความตกลงล่าสุดระหว่าง ‘สหรัฐฯ และไทย’ ในภาพรวมยังคล้ายเดิม เพียงแต่มีการระบุมูลค่า ที่ประเทศไทยต้องรับซื้อ โดยมีโอกาสและความเสี่ยงใหม่ดังนี้
สำหรับปัจจัยบวกใหม่ (Upside Risk) เกวลินมองว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุด สะท้อนว่า สหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับไทยในฐานะประเทศคู่ค้า เช่นเดียวประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ที่มีการยกระดับข้อตกลงการค้าพร้อมๆ กัน นอกจากนี้ เกวลินยังมองว่า การลงนามสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา จะทำให้บรรยากาศการค้าชายแดนดีขึ้น ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพใหญ่
อย่างไรก็ตาม เกวลิน เตือนว่า แม้จะมีปัจจัยบวกใหม่และไทยยังได้อัตราภาษีตอบโต้เท่าเดิมที่ 19% ใกล้เคียง กับประเทศเพื่อนบ้าน แต่การที่ภาคส่งออกจะปรับดีขึ้นนั้น ยังขึ้นอยู่กับการปรับตัวของธุรกิจต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษามาร์จิ้น การดีลกับผู้นำเข้า การปรับปรุงการผลิตสินค้าให้ตอบโจทย์ตลาดโลก และการจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
ห่วงสหรัฐฯ กดดันหนักกระทบแรงงานระดับล่างหลายสิบล้านคน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงขาลง (Downside Risk) จากกรอบการเจรจาล่าสุด เกวลินมองว่า สหรัฐฯ ยังมีความต้องการ ให้ไทยเปิดตลาดอาหารสัตว์และสินค้าเกษตร รวมถึงการจัดซื้อเครื่องบิน และพลังงานจากสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะ ตลาดสินค้าเกษตรและอาหารสัตว์ไทย ที่เกวลินระบุว่า อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการหลายล้านครัวเรือน รวมถึงแรงงานระดับล่างหลายสิบล้านคน
“แม้ภาคเกษตรจะมีน้ำหนักต่อ GDP น้อย ที่ประมาณ 8-10% ก็ตาม ทั้งนี้ในระยะข้างหน้าต้อง ติดตามการเปิดตลาด ในสินค้าอื่น เช่น เนื้อหมู” เกวลินกล่าว
จับตาดีล ‘สหรัฐฯ-จีน’ และเกณฑ์สินค้าสวมสิทธิ์จ่อกระทบทิศทางการค้าอาเซียน
นอกจากนี้ เกวลิน ยังคงแนะให้ติดตามสถานการณ์ ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ และการตอบโต้ทางภาษีศุลกากรระหว่าง 2 ประเทศ ที่แม้ล่าสุดจะมีแนวโน้มบวกเพิ่มขึ้น แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงการค้า ไม่ว่าจะเป็นในทางบวกหรือลบ ย่อมส่งผลต่อทิศทางการค้าของอาเซียน
สำหรับประเด็นเรื่อง การสวมสิทธิ์สินค้า (Transshipment) เกวลินระบุว่า ยังต้องติดตามต่อว่าสหรัฐฯ จะมีหลักเกณฑ์การประเมินอย่างไร แต่เบื้องต้นคาดว่า จะมีการพูดคุยทั้งระดับทวิภาคี และออกหลักเกณฑ์ร่วมกันในระดับภูมิภาค (RVC)
นอกจากนี้ ยังต้องจับตาผลการพิพากษาของศาลสูงสุดสหรัฐฯ (Supreme Court) ว่าจะ มีคำตัดสินให้ยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคำสั่งยกเลิก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยก็ คาดว่า มาตรการกีดกันทางการค้าจะยังดำเนินต่อไป โดยรัฐบาลทรัมป์ อาจหาช่องว่างทางกฎหมายอื่นมาเป็นเครื่องมือ เพื่อบรรลุเป้าหมายลด ขาดดุลการค้า และดึงฐานการผลิตกลับมาสหรัฐฯ รวมถึงสกัดการขยายอิทธิพลของจีนต่อไป

แนะไทยแก้โจทย์ ‘โครงสร้าง’ ยกระดับ ‘Future Food’ สู้ศึกการค้าโลก
สำหรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อรัฐบาล เพื่อรับมือกับผลกระทบจาก มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐฯ (Reciprocal tariff) ที่คาดว่าจะยังดำเนินต่อไปในระยะข้างหน้า เกวลินกล่าวว่า การเจรจาข้อตกลงการค้าแน่นอนว่า ผลสรุปแล้วสหรัฐฯ ต้องได้เปรียบกว่าประเทศคู่ค้า อีกทั้งยังมีปัจจัยภายนอก ที่ควบคุมไม่ได้หลายอย่าง ดังนั้น นอกจากมาตรการ บรรเทาผลกระทบแล้ว สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องโฟกัส คือ กลับมาแก้โจทย์ปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันขีดความสามารถ การแข่งขันของประเทศ
พร้อมทั้งยกระดับซัพพลายเชนของภาคการผลิตไทย ทั้งฝั่งดีมานด์ และซัพพลายให้สามารถเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานการค้าโลกได้ เพื่อรับมือระเบียบการค้าใหม่ ที่ทำให้การค้าโลกกระจัดกระจาย เศรษฐกิจชะลอตัวลง และนักลงทุนที่ใช้เวลาในการประเมินความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
“ดังนั้นเพื่อให้ภาคการผลิตไทยไม่ตกขบวน รัฐบาลจะต้องเร่งสนับสนุนการพัฒนา ecosystem ซัพพลายเชนทั้งระบบ ต่อยอดจุดแข็งที่มี เช่น อุตสาหกรรมเกษตร ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า ผ่านการแปรรูป หรือต่อยอดอาหารไปสู่ Future Food เช่น อาหารจากพืช (Plant-based meat)” เกวลินกล่าวทิ้งท้าย


