สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาถึงปัจจุบัน ซึ่งกลุ่มสามารถคอร์ปอเรชั่น ถือเป็นบริษัทเอกชนที่มีธุรกิจให้บริการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้าประเทศในกัมพูชา
รัฐนันท์ วิไลลักษณ์ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น หรือ SAMART เปิดเผยว่า สำหรับสถานการณ์ในกัมพูชาที่มีบริษัทในกลุ่ม SAMART คือ บมจ. สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ หรือ SAV ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการบริหารจัดการควบคุมการจราจรทางอากาศทั่วน่านฟ้าประเทศกัมพูชาเพียงผู้เดียว กัมพูชาเป็นฐานธุรกิจสำคัญของกลุ่ม SAMART ซึ่งมีสัดส่วนของรายได้ประมาณ 20-25% ของรายได้รวมของ SAMART แม้ปัจจุบันมีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ยังไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในกัมพูชา
โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
- ผลกระทบจากความไม่สงบ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณชายแดน ไม่ได้เป็นการปิดน่านฟ้าทั้งประเทศ ในช่วงแรกที่อาจมีผลกระทบคือช่วงสั้นๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมีจำนวนไฟลท์บินผ่านน่านฟ้า (Overflight) มีเที่ยวบินเฉลี่ยต่อวันลดลงประมาณ 20% จากปกติที่มีประมาณ 250 เที่ยวต่อวัน ลดลงเหลือประมาณ 200 เที่ยวต่อวัน
- ปัจจัยชดเชยจากพายุ ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม มีพายุเข้ามามาก ปกติเที่ยวบินของเวียดนามที่บินภายในประเทศ เช่น ฮานอยไปโฮจิมินห์ จะต้องบินในเส้นทางของตนเอง แต่เมื่อเกิดพายุ ก็มีการยกเลิกและเบี่ยงเส้นทางมาบินผ่านน่านฟ้ากัมพูชามากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยง ปัจจัยชดเชยจากพายุนี้ช่วยเสริมปริมาณเที่ยวบิน ทำให้ผลกระทบโดยรวมจากการยิงในช่วงนั้นลดลงเหลือเพียง 10-15% เท่านั้น
- การดีดกลับของเที่ยวบิน ในเดือนกันยายน ตัวเลขเที่ยวบินดีดกลับมาอยู่ที่ประมาณ 230 เที่ยวต่อวัน หายไปประมาณ 20 เที่ยวจากปกติ เนื่องจากสายการบินตระหนักว่าการบินเลี่ยงกัมพูชาโดยไม่ผ่านเส้นทางเดิมมีค่าใช้จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงกว่า
อีกทั้งแม้จะมีประเด็นในกัมพูชา แต่เที่ยวบินระหว่างประเทศ (International Flights) ที่ลงหรือออกจากกัมพูชาจริง ๆ แล้วกลับเพิ่มขึ้นประมาณ 1.2% ในช่วงไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ปีนี้ การเพิ่มขึ้นนี้ รวมถึงเที่ยวบินที่มาจากหลายจุดหมาย โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นผลมาจากจำนวนชาวจีนที่บินเข้าออกกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินไทย-กัมพูชามีแนวโน้มลดลง จากปกติวันละ 4 เที่ยว เหลือประมาณวันละ 2 เที่ยว แต่โดยรวมคาดว่ากำไรทั้งปีนี้ของ SAV จะเติบโตดีขึ้นจากปี 2567
ปั้น SAV สู่การเติบโตเชิงรุก ด้วย 2 โปรเจกต์ใหม่
โดยเพื่อผลักดันให้ SAV เติบโตต่อเนื่อง SAMART มีแผนที่จะไม่ให้ SAV เป็นแค่ Holding Company แต่จะขยายงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบินและสนามบิน โดยมีแผนจะเข้าประมูลงาน ดังนี้
1. โครงการวิทยุการบิน (Air Navigation Project) มูลค่าประมาณ 1,100 ล้านบาท คาดว่าจะประมูลภายในไตรมาส 4/2566 ซึ่ง SAV จะเข้าดำเนินการเอง 100%
2. โครงการ FOD (Foreign Object Debris) ที่สุวรรณภูมิ มูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท โดย SAV เข้าร่วมกับพันธมิตร ในลักษณะ Consortium ซึ่งส่วนแบ่งของ SAMART
ทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2569 ซึ่งจะหนุนให้กำไรของ SAV ดีในปีหน้าดีขึ้นจากปีนี้
นอกจากนี้ ยังมีการมองโอกาสในการเข้าไปดำเนินงานควบคุมจราจรทางอากาศในประเทศลาวซึ่งอยู่ในระหว่างขั้นตอนการเจรจาเข้าไปรับสัมปทาน ซึ่งเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศกัมพูชามาก
คาดปีนี้ SAMART Turnaround แม้รายได้ต่ำกว่าแผน
รัฐนันท์ กล่าวต่อว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการ SAMART ได้ Turnaround เรียบร้อยแล้ว หลังจากช่วงครึ่งแรกปีนี้มีกำไรสุทธิแล้ว 215 ล้านบาท มากกว่าทั้งปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 133 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีกำไรค่อนข้างดีซึ่งมาจากการเติบโตของทุกธุรกิจในกลุ่ม
อย่างไรก็ดีคาดว่ารายได้รวมในปีนี้ของ SAMART จะอยู่ที่ประมาณ 11,000 – 11,500 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากคาดการณ์เดิมที่ 13,500 ล้านบาท เนื่องจากถูกผลกระทบจากการเปลี่ยนรัฐบาลในช่วงไตรมาส 3 ทำให้การประมูลงานภาครัฐชะลอตัวไปบ้าง
ขณะที่มูลค่างานในมือ (Backlog) ณ ไตรมาส 3/2568 Backlog รวมของกลุ่มเพิ่มขึ้นจาก 15,000 ล้านบาท เป็น 18,000 ล้านบาท และมีโอกาสที่ Backlog รวมของ SAMART จะกลับไปแตะ 20,000 ล้านบาทได้

ภาพ : ข้อมูลผลการดำเนินงาน SAMART ปี 2566-2568
สำหรับบริษัท เทด้า จำกัด หรือ TEDA ซึ่งทำธุรกิจวิศวกรรมไฟฟ้าและพลังงานได้รับงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเดือนกันยายนและตุลาคม ได้งานรวมกันประมาณ 2,400 ล้านบาท จาก 3 โครงการ
นอกจากนี้ธุรกิจ TEDA ได้รับอานิสงส์จากการบูมของ Data Center เนื่องจาก Data Center ใช้ไฟจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการสร้างสถานีไฟฟ้าและสถานีส่งไฟฟ้าแรงสูง (Substation) เพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด ซึ่งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ไม่ได้มี Capability ในการทำเองทั้งหมด จึงเปิดประมูล ทำให้งานของ TEDA เพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจ ICT Solutions ที่ดำเนินธุรกิจโดยในเครือ คือ บมจ. สามารถเทลคอม หรือ SAMTEL ตั้งเป้าหมายว่าจะมีงานที่ได้มาในปีนี้ประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกได้มาแล้วประมาณ 5,000 ล้านบาท คาดว่าในช่วงไตรมาส 4 จะมีการประมูลงานเข้ามาอีก 3,000-4,000 ล้านบาท
แม้จะมีงานราชการบางส่วนอาจคาบเกี่ยวไปต้นปีหน้า แต่โดยรวมเชื่อว่า SAMTEL น่าจะได้งานถึง 10,000 ล้านบาทในปีนี้ ปัจจุบัน สัดส่วนงานของกลุ่ม SAMART ยังคงมาจากภาคราชการเป็นหลัก ประมาณ 70%

ภาพ : ข้อมูลการเติบโตของรายได้ในแต่ละธุรกิจของกลุ่ม SAMART ในช่วงครึ่งแรกปี 2568
ศึกลงทุนธุรกิจใหม่ AI-Carbon Credit
ในระยะยาว SAMART มุ่งเน้นการสร้างธุรกิจใหม่ที่ไม่ได้พึ่งพาการประมูลงานอย่างเดียว โดยเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ดังนี้
- มีการพัฒนาธุรกิจ AI ภายในกลุ่ม ซึ่งเป็น AI ที่ชัดเจนและเป็น Corporate AI ไม่ใช่ AI แบบกว้าง ๆ และมีการวางแผนที่จะเปิดตัวในเดือนมกราคมปีหน้า
- มีการศึกษาเรื่อง Carbon Credit และการตรวจสอบคาร์บอนเครดิต (Verify Carbon Credit) เพื่อเตรียมรับมือกับเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะมา
“องค์รวมของทุกธุรกิจในกลุ่มเริ่มลงตัว ไม่ว่าจะเป็น SAV ที่เติบโตมาก TEDA ที่เริ่มรับงานเยอะ SAMTEL ที่ฟื้นตัว ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสในการเติบโตในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และยืนยันว่าถึงแม้เศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว แต่สัญญาณธุรกิจของกลุ่มยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากงานส่วนใหญ่ยังมาจากภาคการใช้จ่ายของภาครัฐ ที่คาดว่าจะเปิดประมูลต่อเนื่อง”
มั่นใจปี 68 กลับมามีกำไรแบบ Turn Around 100%
ด้านวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร และพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งรายได้และกำไร ถึงแม้เราต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจ และยังมีหลายโครงการที่ล่าช้าจากงบประมาณภาครัฐที่ดีเลย์ ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ทุกสายธุรกิจมีทิศทางขาขึ้นและแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยในช่วง 9 เดือน มีรายได้แตะ 7,700 ล้านบาท มี Backlog ทั้งกลุ่มประมาณ 18,000 ล้านบาท โดยทุกสายธุรกิจและบริษัทย่อยมีผลงานโดดเด่น

ภาพ : วัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ รองประธานกรรมการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์องค์กร และพัฒนาธุรกิจใหม่ บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่น
สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปีมีงานรอประมูลอีกเกือบ 9,000 ล้านบาท และจะมีงานใหม่เร่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากหลายหน่วยงานภาครัฐที่ต้องเร่งใช้งบประมาณ โดยแต่ละบริษัทในเครือมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ อาทิ Samtel มีงานรอประมูลรวมกว่า 4,000 ล้านบาท คาดว่า Backlog สิ้นปีจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ด้าน SAV มีงานรอประมูลประมาณ 2,300 ล้านบาท เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการขายอุปกรณ์ให้วิทยุการบิน และ FOD. ด้าน บ. เทด้า มีงานรอประมูลเกือบ 2,000 ล้านบาท คาด Backlog ทั้งกลุ่มตอนสิ้นปีจะทะลุ 20,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จะแตะที่ประมาณ 11,000–11,500 ล้านบาท
“ปี 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกลุ่ม SAMART ที่สามารถกลับมามีกำไรแบบ Turnaround 100% อย่างเต็มตัว หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทลูกดีขึ้น บริษัทแม่ก็จะดีตามด้วย” นายวัฒน์ชัยกล่าวทิ้งท้าย


