เปิด 7 นโยบายหลัก กระทรวงพาณิชย์ใน 4 เดือน พาณิชย์ เผย สหรัฐฯ ยังไม่ได้แจ้งกฎเกณฑ์ Transshipment และสัดส่วน Local Content กับไทย คาดมุ่งเป้าสกัดสินค้าจีน ชี้เป็นโอกาสและความเสี่ยงให้กับสินค้าไทยในเวลาเดียวกัน
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ว่าที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ดร.กิริฎา ได้เปิดเผย 7 นโยบายหลักที่ต้องดำเนินการภายใน 4 เดือน ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายระยะสั้น โดยมุ่งสร้าง ‘ผลลัพธ์ระยะยาว’ ผ่านมาตรการที่สามารถดำเนินการได้จริงทันที ตามแนวคิด ‘Quick Big Win’ ของรัฐบาล
โดยดร.กิริฎาระบุว่า หลังเข้าทำงานในกระทรวงเพียง 3 สัปดาห์ พบว่าข้าราชการส่วนใหญ่มีความกระตือรือร้นและพร้อมปรับตัว ซึ่ง 67% ของบุคลากรในกระทรวงเป็นผู้หญิง และมีความตั้งใจที่จะผลักดันการเปลี่ยนแปลง หากได้รับแรงสนับสนุนจากผู้นำ
สำหรับ 7 นโยบายหลักที่ต้องดำเนินการภายใน 4 เดือน ประกอบด้วย
1. การรับมือภาษีจากสหรัฐฯ: เร่งเจรจาเพื่อป้องกันการขึ้นภาษี Non-reciprocal Tariff ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 19% รวมถึงภาษีเฉพาะสินค้า เช่น เหล็ก และเซมิคอนดักเตอร์ พร้อมตรวจสอบกฎ Local Content เพื่อไม่ให้สินค้าจากประเทศอื่นสวมสิทธิ์ โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
2. การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา: ช่วยเหลือผู้ประกอบการชายแดนที่ได้รับผลกระทบ เช่น เทรดเดอร์ ร้านอาหาร โรงแรมขนาดเล็ก พร้อมเร่งหาตลาดใหม่ และลดต้นทุนผู้นำเข้า-ผู้ส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง และนม UHT ที่ต้องปรับเส้นทางขนส่ง
3. การขยายตลาดใหม่และเร่งทำ FTA: ผลักดัน FTA ไทย-EU และไทย-เกาหลีใต้ รวมถึงการอัปเกรดข้อตกลงเดิม เช่น อาเซียน-จีน และอาเซียน-เกาหลี พร้อมขยายการโปรโมทสินค้าในตลาดใหม่ เช่น อินเดีย และตะวันออกกลาง
4. การดูแลค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคายา: เตรียมเปิดระบบตรวจสอบราคายาในโรงพยาบาลเอกชน และเปิดทางให้ประชาชนซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ โดยมี 9 ใน 11 เครือข่ายโรงพยาบาลร่วมลงนาม MOU กับกรมการค้าภายใน คาดช่วยประหยัดค่ารักษาได้กว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี
5. การดูแลเสถียรภาพสินค้าเกษตรโดยไม่ใช้งบอุดหนุน: ใช้แนวทางชะลออุปทานแทนการประกันราคา พร้อมเจรจา G-to-G กับจีน (COFCO) ให้รับซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน เพื่อลดแรงกดดันด้านราคา
6. เพิ่มขีดความสามารถสินค้าเกษตรผ่านระบบ Sandbox: ส่งเสริมการปลูกสินค้าที่ตลาดต้องการสูง เช่น กล้วยหอมทอง ซึ่งยังมีโควตาในญี่ปุ่น เพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกรและลดการพึ่งพางบอุดหนุน
7. การยกระดับศักยภาพ SME: เน้นการอัปสกิลแทนการแจกเงิน โดยร่วมมือกับเอกชนและธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) พัฒนาโครงการฝึกอบรมด้านดิจิทัล และส่งเสริมผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดส่งออก
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังวางมาตรการ ลดกฎระเบียบและขั้นตอนภายใน 4 เดือน โดยทุกกรมต้องจัดทำแผนลดขั้นตอนภายในหน่วยงาน พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เชื่อมข้อมูลร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เพื่อให้การติดต่อกับผู้ประกอบการสะดวกขึ้น ตัวอย่างเช่น การปรับระเบียบให้ใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทนกระดาษในการเชิญประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ
ส่วนในประเด็น CPTPP ดร.กิริฎาระบุว่า ในระยะ 4 เดือนแรก กระทรวงจะโฟกัสการเจรจา FTA กับ EU และเกาหลีใต้ก่อน เนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีเงื่อนไขซับซ้อน เช่น ข้อกำหนดด้านการลดคาร์บอนและธรรมาภิบาล ขณะที่ CPTPP จะถูกนำมาพิจารณาในลำดับถัดไป
เผย สหรัฐฯ ยังไม่แจ้งสัดส่วน Local Content
นอกจากนี้ ดร.กิริฎายังเปิดเผยว่า ขณะนี้สหรัฐฯ ยังไม่ได้แจ้งรายละเอียดหรือกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) รวมถึงการกำหนดสัดส่วนของ Local Content หรือ Regional Value Content (RVC) ที่จะใช้บังคับกับไทย
“ตอนนี้อเมริกายังไม่บอกเรา ว่ากฎของ Transshipment หรือ Local Content ต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ Regional Value Content ต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ ยังไม่ประกาศออกมา” ดร.กิริฎากล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.กิริฎาคาดว่า กฎดังกล่าวมีเป้าหมายหลักเพื่อสกัดสินค้าจากจีน ซึ่งคาดว่าจะประกาศออกมาเป็น 2 ส่วน ได้แก่ สัดส่วน Local Content จากประเทศผู้ผลิต และสัดส่วนวัตถุดิบจากจีนซึ่งต้องไม่เกินเกณฑ์ที่กำหนด
สำหรับฝั่งไทย ขณะนี้ผู้ส่งออกที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ จำเป็นต้องให้กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) เพื่อยืนยันสัดส่วนวัตถุดิบจากไทยจริง หลังจากก่อนหน้านี้หอการค้าเป็นผู้ดำเนินการได้
“เราอยากมั่นใจว่า สินค้าที่ส่งไปอเมริกามี Local Content ตามที่ผู้ประกอบการแจ้งจริง เพราะถ้าไม่จริงแล้วเขาจับได้ จะมีผลกระทบเป็นวงกว้างระยะยาว” ดร.กิริฎากล่าว
นอกจากนี้ วันที่ 26 ตุลาคมนี้ ไทยจะเข้าร่วมการประชุมอาเซียนซัมมิตที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีโอกาสที่นายกรัฐมนตรีอาจได้หารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับแนวทางการกำหนด Local Content ของสหรัฐฯ
ทรัมป์เปิดศึกรอบใหม่ ขู่ขึ้นภาษีจีน 100% กระทบไทย
กรณีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีก 100% ดร.กิริฎาระบุว่า ขณะนี้ยังเป็นเพียงการขู่เจรจา เนื่องจากจีนพยายามจำกัดการส่งออกแรร์เอิร์ธไปยังสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นยุทธวิธีการต่อรองระหว่างสองประเทศ
“ยังไงก็ตาม ภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับจีน ท้ายที่สุดน่าจะสูงกว่าไทย เพราะเขามองจีนเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของเขา ถ้าจีนโดน 50-60% แต่เราโดน 19% อย่างไรก็ยังต่ำกว่าจีนอยู่”
ดร.กิริฎายังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า หากจีนส่งสินค้าไปสหรัฐฯ ได้ยากขึ้น จีนอาจลดราคาสินค้าเพื่อระบายสต็อก ทำให้สินค้าจีนมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้สินค้าไทยเข้าไปทดแทนสินค้าจีนในตลาดอเมริกาได้เช่นกัน
“เราเคยศึกษาไว้ที่ TDRI พบว่าสินค้า Top 20 ของไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มีคู่แข่งเป็นสินค้าจีนถึง 18 รายการ และเวียดนามเพียง 13 รายการ โดยสินค้าจีนครองส่วนแบ่งตลาดสูง เช่น ชิ้นส่วนมือถือมีส่วนแบ่งราว 40% ขณะที่ไทยมีเพียง 7-8% ถ้าจีนขายยาก ไทยก็มีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งอีก 2-3%”
ดร.กิริฎาสรุปว่า สถานการณ์ดังกล่าวมีทั้ง “ความเสี่ยงและโอกาส” สำหรับผู้ส่งออกไทย ขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้ทันกับกฎใหม่ของสหรัฐฯ และทิศทางสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ในระยะต่อไป