ดูเหมือนว่าความหวังของแฟนบอลไทย ที่อยากเห็นทีมชาติกลับมาอยู่ในฟอร์มที่ดีอีกครั้ง…จะดับวูบลงอีกหน
เมื่อข่าวการแยกทางกับกุนซือชาวญี่ปุ่นอย่าง มาซาทาดะ อิชิอิ กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะเทือนทั้งวงการ
ภายหลังสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกแถลงยุติสัญญากับอิชิอิ โดยให้เหตุผลว่า “แนวทางการทำงานและทิศทางของทีมไม่สอดคล้องกัน”
สำหรับอิชิอิ เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนธันวาคม 2023 คุมทีมไปแล้ว 30 นัด ชนะ 16 นัด อัตราชนะ 53% ผลงานโดยรวมถือว่าไม่น่าผิดหวัง พาทีมคว้าแชมป์คิงส์คัพ 1 สมัย, ทะลุรอบน็อกเอาต์เอเชียนคัพ และขยับอันดับฟีฟ่าจาก 113 ขึ้นมาอยู่ที่ 96 ของโลก พร้อมเริ่มวางทีมเลือดใหม่ในแบบที่เขาเชื่อ
แต่ยังไม่ทันได้สร้างสิ่งนั้นให้เต็มรูปแบบ เขาก็ต้องเก็บกระเป๋าออกจากตำแหน่งเสียก่อน
การปลดครั้งนี้จึงไม่ต่างจาก ‘ฟ้าผ่า’ กลางแคมป์ช้างศึก โดยเฉพาะในจังหวะที่ทีมกำลังลุ้นผ่านเข้ารอบคัดเลือกเอเชียนคัพ 2027 ซึ่งเหลือเพียงสองนัดสุดท้าย
สองเกมที่อาจชี้อนาคตของฟุตบอลไทยชุดใหญ่เลยก็ว่าได้…
Aftershock ความรู้สึกของอิชิอิ และกระแสวิพากษ์
หลังแถลงการณ์ของสมาคมฯ สิ่งที่ทำให้แฟนบอลไทยสะเทือนใจกว่าตัวข่าว คือโพสต์ระบายของ มาซาทาดะ อิชิอิ ผ่าน Instagram Story ส่วนตัวว่า “วันนี้ตอน 10 โมง ผมถูกสมาคมฟุตบอลไทยเรียกไป โดยบอกว่า มาทบทวนสองนัดที่เจอกับไต้หวัน
“หลังจากการพูดคุย ผมถูกบอกว่า “วันนี้จะทำการยกเลิกสัญญา” เหตุผลคือ อยากเปลี่ยนสตาฟฟ์ ของทุกชุดเยาวชน
“ผมยังไม่สามารถจัดการความรู้สึกได้ เลยตอบไปว่า ไว้คุยกันอีกครั้งหน้า และไม่ได้ลงนามเอกสารใดๆ แล้วตอนบ่าย…ก็มีประกาศปลดออกมา ดูเหมือนไม่ให้ความจริงใจซึ่งกันและกัน”
“และถึงทุกคนที่สนับสนุนทีมชาติไทยมาจนถึงตอนนี้, ขอบคุณมาก”
คำพูดของอิชิอิสะท้อนทั้งความผิดหวังส่วนตัว และคำถามที่ลอยอยู่ในใจของแฟนบอลหลายคน เหตุใดสมาคมฯ จึงเลือกปลดเขาในเวลานี้?
เสียงวิจารณ์จากแฟนบอลไทยตามมาอย่างหนัก หลายคนเห็นว่าการปลดครั้งนี้ ไร้เหตุผลชัดเจน
โดยเฉพาะเมื่ออิชิอิพาทีมไทยชนะไต้หวัน 2-0 และ 6-1 ในศึกคัดเลือกเอเชียนคัพ เพียงไม่กี่วันก่อนหน้า
ถ้าเหตุผล ‘การปลด’ คือการบอกว่า วินเรตต่ำ ต้องบอกว่า ข้อมูล ณ ปัจจุบัน อิชิอิ คือกุนซือที่ ไม่เคยมี Win Rate ต่ำกว่าท็อป 5 ในทุกทีมที่เคยคุมทั้งระดับ สโมสร และโดยเฉพาะทีมชาติไทย ที่ 53.33% (อันดับ 2 จาก 14 คน)
สถิติเหล่านี้บอกชัดว่า อิชิอิไม่ใช่โค้ชที่ล้มเหลวในเชิงตัวเลขเลย
แต่สุดท้าย เหตุผลที่สมาคมฯ ยืนยันคือคำสั้นๆ ที่แฟนบอลคุ้นเคยดี คือ “แนวทางไม่ตรงกัน” คำอธิบายที่กลับยิ่งเพิ่มความคลุมเครือให้กับการตัดสินใจครั้งนี้มากกว่าเดิม
คำถาม…ที่ไม่มีคำตอบ สรุปแล้วอิชิอิถูกปลดเพราะอะไร?
ก่อนหน้านี้ หลายเสียงชี้ไปที่แนวทาง ‘Japan Way’ หรือฟุตบอลสไตล์ญี่ปุ่นที่อิชิอิพยายามปลูกฝังให้ทีมชาติไทย ระบบที่เน้นวินัย แท็กติกละเอียด และการสร้างทีมอย่างเป็นขั้นตอน ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่ให้ผลลัพธ์อย่างที่แฟนบอลคาดหวัง
แต่หากมองลึกลงไป ปัญหาอาจไม่ใช่ Japan Way เลยด้วยซ้ำ
เพราะความจริงคือ อิชิอิเข้ามารับช่วงต่อหลังจากทีมชาติไทยตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026
เขาไม่ได้เริ่มสร้างทีมนี้จากศูนย์ แต่ต้องมาสานต่อจากระบบและนักเตะที่มีอยู่แล้ว (จากยุคมาโน่) ทั้งในแง่ขุมกำลัง, ขวัญกำลังใจ และรอยร้าวภายในทีม
ยิ่งไปกว่านั้น เกมอุ่นเครื่องที่ควรเป็น “ห้องทดลอง” สำหรับลองแท็กติกใหม่ๆ กลับถูกคาดหวังให้ชนะทุกนัด จนไม่มีพื้นที่สำหรับการลองผิดลองถูก
ขณะที่ระยะเวลาในการเก็บตัวก็สั้น นักเตะตัวหลักบางรายไม่สามารถร่วมทีมได้ครบ
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนจำกัดโอกาสในการพัฒนาทีมตามแนวทางที่เขาวางไว้
ดังนั้น ปัญหาจริงอาจไม่ใช่แนวทางของอิชิอิ แต่คือ โครงสร้างฟุตบอลไทยที่ยังไม่เอื้อต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เรายังคงขาดระบบสนับสนุนที่ครบวงจร กระจายทรัพยากรยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในระดับเยาวชนและอะคาเดมี ซึ่งควรเป็นรากฐานสำคัญของทีมชาติ
Japan Way อาจเหมาะกับประเทศที่มีระบบแข็งแรงอยู่แล้ว แต่สำหรับไทย ที่ยังมีปัญหานักเตะฟอร์มไม่คงเส้นคงวา ลีกขาดเสถียรภาพ และไม่มีเวลาเตรียมทีมมากพอ
และที่ยิ่งน่าเสียดายเข้าไปใหญ่ เพราะการปลดอิชิอิในครั้งนี้ ไม่ได้แค่หมายถึงการเสียโค้ชที่มีผลงานดีระดับหนึ่ง แต่คือการเสียคนที่พยายามวางโปรเจกต์ระยะยาวให้กับทีมชาติไทย
อิชิอิเริ่มวางรากของระบบใหม่ ทั้งการสร้างทีมสายเลือดใหม่และปรับแนวทางฝึกซ้อมให้เป็นมืออาชีพมากขึ้น
แต่ฟุตบอลไทยแบบ Thailand Way กลับยังติดกับดักเดิม คือการมองหาผลลัพธ์ระยะสั้นมากกว่าความยั่งยืนระยะยาว
จนสุดท้าย ความอดทนที่ควรจะเป็นพื้นฐานของการสร้างทีม…กลับกลายเป็นสิ่งที่เรามีให้น้อยเกินไปเสมอ
ใครคือตัวเต็งรับไม้ต่อคุมช้างศึก?
หลังการปลดโค้ชครั้งนี้ คำถามที่แฟนบอลทุกคนอยากรู้ก็คือ แล้วใครจะมารับไม้ต่อจาก มาซาทาดะ อิชิอิ?
แน่นอนว่า ชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเวลานี้คือ แอนโธนี ฮัดสัน วัย 44 ปี โค้ชชาวอังกฤษผู้ผ่านประสบการณ์ในเวทีระดับโลกมาแล้ว ทั้งในฐานะโค้ชทีมชาติบาห์เรน, นิวซีแลนด์ และผู้ช่วยโค้ชทีมชาติสหรัฐอเมริกา
ก่อนหน้านี้เขายังเคยคุมทีม บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในศึกไทยลีก จึงถือเป็นโค้ชที่รู้จักนักเตะไทยและเข้าใจบริบทของฟุตบอลเอเชียเป็นอย่างดี (แบบเดียวกับ อิชิอิ เลย)
ฮัดสันเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสมาคมฟุตบอลไทย เมื่อเดือนมิถุนายน 2568 และด้วยตำแหน่งนี้เอง ทำให้หลายคนมองว่าเขาอาจเป็นตัวเลือกในบ้าน ที่พร้อมก้าวขึ้นมาคุมทีมชาติไทยแบบเต็มตัว
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งชื่อที่น่าจับตาไม่แพ้กัน คือ ชิน แท ยง กุนซือชาวเกาหลีใต้ที่เคยพาทีมชาติอินโดนีเซียทะลุรอบ 3 ของศึกคัดเลือกฟุตบอลโลก 2026 พร้อมสร้างแรงกระเพื่อมด้วยการชนะ ซาอุดีอาระเบีย 2-0
แม้จะถูกปลดจากตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่เวลานี้เขายังคงว่างงาน และถูกพูดถึงในฐานะแคนดิเดตที่น่าสนใจ
ท้ายที่สุด เรากำลังจบปี 2025 ด้วยการ ‘เริ่มต้นใหม่’ อีกแล้ว!
จาก มิโลวาน ราเยวัช มาถึงอากิระ นิชิโนะ, มาโน่ โพลกิ้ง และล่าสุดอิชิอิ
รายชื่อโค้ชที่ถูกเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ ราวกับทีมกำลังพายเรือวนอยู่ในอ่างเดิม
คำถามจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะพาช้างศึกไปสู่จุดสูงสุด หรือทำให้เรากลับมานับหนึ่งใหม่อีกครั้ง?
หากโครงสร้างพื้นฐานยังเหมือนเดิม การลงทุนในเยาวชนยังขาดหาย และระบบสนับสนุนยังไม่เข้มแข็ง หรือในแง่ความอดทนกับการใช้เวลาวางโครงสร้างที่มีไม่มากพอ ต่อให้ได้โค้ชเก่งแค่ไหน ก็คงยากจะเปลี่ยนชะตาฟุตบอลไทยได้
เพราะฟุตบอลไทยไม่ต้องการเพียง ‘โค้ช’ ที่มารับงานเพื่อทำทีมชนะนัดต่อนัด แต่ต้องการคนที่มีความจริงใจ พร้อมปักเสา วางรากฐานใหม่ให้แข็งแรงและยั่งยืน
เพราะหากยังไม่เริ่มจากตรงนั้น เราก็จะยังคงมูฟออนเป็นวงกลม กลับมานับหนึ่งใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้
สุดท้าย ก็ได้แต่หวังว่า ใครก็ตามที่จะมารับไม้ต่อ จะสามารถจุดประกายความหวังให้ทีมชาติไทยอีกครั้ง
หรือไปได้ไกลกว่านั้นก็ยินดียิ่ง… 🙏