ส่งออกไทยช่วงไฮซีซั่นปลายปียังต้องลุ้น! ส.อ.ท. ถก ธปท. ลุยแก้ ‘บาทแข็ง’ จี้คุมธุรกรรมทองคำ-คริปโต ป้องการฟอกเงิน ดันมาตรการซอฟต์โลนช่วยเหลือ SME
วันนี้ 21 ต.ค. ที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวหลังหารือกับ วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. ว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายรอบด้าน ทั้งภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ตลาดใหม่ เศรษฐกิจชะลอ หนี้และสภาพคล่องของภาคธุรกิจ ต้นทุนพลังงาน มาตรการ ปิดด่านชายแดน
โดยเฉพาะการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่ง กกร.ส่งสัญญาณเรื่องนี้ตลอด เพราะประเทศต้องค้าขายต่างชาติ
“บาทแข็งยิ่งสร้างแรงกดดันต่อภาคส่งออกทันที สินค้าแพงขึ้น และยังกระทบการท่องเที่ยวด้วย ดังนั้น จึงต้องหาจุดสมดุลปรับค่าเงินบาทอย่าให้แข็งเกินไป”
เกรียงไกร กล่าวว่า ปัจจุบันยังขาดการ ‘Connect the Dots’ ระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบที่ส่งผลต่อค่าเงินบาท ไม่ว่าจะเป็น
- ธนาคารแห่งประเทศไทย
- กระทรวงพาณิชย์
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
- กรมศุลกากร
- สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ส่อพิรุธ! ไทยส่งออกทองไปกัมพูชาเพิ่มผิดปกติ ดันบาทแข็งค่าเร็ว
- ‘วรภัค’ รมช.คลัง นั่งประธานคณะทำงานตรวจสอบเส้นทางเงินเทา ยืนยันไม่เกี่ยวกับขบวนการใดๆ
ชง ธปท. คุมซื้อขาย ‘ทองคำ-คริปโต’ แก้เกมบาทแข็ง
เกรียงไกร ย้ำว่า ค่าเงินบาทไทย ขณะนี้แข็งค่ากว่า 7% เมื่อเทียบกับภูมิภาค ขณะที่เงินเวียดนามอ่อนค่ากว่า 3% ทำให้ช่องว่างการแข่งขันห่างกันเกือบ 10% สินค้าส่งออกไทยซึ่งมีกำไรไม่มากจึงเสียเปรียบประเทศคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด โดยรายได้จากการส่งออกคิดเป็นกว่า 60% ของ GDP
“ผู้ว่าการ ธปท. ได้รับข้อเสนอไปพิจารณาแก้ปัญหาค่าเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากราคาทองคำที่ปรับขึ้น และการทำธุรกรรมคริปโตเคอร์เรนซี และอาจเชื่อมโยงกับการฟอกเงินระหว่างประเทศ” เกรียงไกร กล่าว
ทั้งนี้ ส.อ.ท. เคยเสนอให้หน่วยงานรัฐเข้มงวดการตรวจสอบการส่งออกทองคำ หลังพบว่าปี 2566 มีการส่งออกไปกัมพูชากว่า 12,000 ล้านบาท และปี 2567 พุ่งหลักแสนล้านบาท
ดังนั้น ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งจัดระเบียบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้มีการดำเนินการเทรด (trade) ทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์แล้ว ตรงนี้จะช่วยลดการแข็งค่าของเงินบาทได้
“เดือนก่อน เอกชนพบความผิดปกติของการส่งออกทองคำไปเยอะๆ และเมื่อชี้จุดมีการเข้ามาตรวจสอบทำให้ค่าเงินบาทลดลงมาได้บ้าง ดังนั้น หากมีการควบคุมและกำกับดูแลอย่างเข้มงวดก็จะช่วยในเรื่องนี้ได้ดี”
นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังเสนอให้ภาครัฐเพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่เป็นสินค้า ‘Made in Thailand’ จาก 30% เป็น 50% เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมในประเทศ พร้อมสนับสนุน ‘คนละครึ่ง พลัส’
อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท. เห็นด้วยกับนโยบาย ‘Quick Big Win’ ของรัฐบาลที่ต้องเห็นผลใน 4 เดือน จะช่วยดัน GDP ขยายตัวได้อีก 1% รวมถึงมาตรการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติภาคการท่องเที่ยว ที่เป็นอีกหัวใจสำคัญของ GDP ประเทศ
“วันนี้ทุกภาคส่วนต้องทำงานร่วมกัน รัฐ-เอกชน และภาคธนาคาร ต้องเป็นจิ๊กซอว์เดียวกัน หากค่าเงินอยู่ในระดับ 34-35 บาทต่อดอลลาร์ จะช่วยผู้ส่งออกได้มาก และเป็นระดับที่สมดุล แข่งขันได้” เกรียงไกร กล่าว
แนะเปิดทางแบงก์พาณิชย์อัดสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ อุ้ม SME
ด้านนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปีนี้ไทยเผชิญผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ และสงครามการค้า
“เราควรรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท ส่งเสริม SMEs ใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging)”
อภิชิต ประสพรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เสนอให้มีมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบมีเป้าหมาย เปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ
พร้อมสนับสนุนการขยายพอร์ตการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จาก 30% เป็น 40% หรือปรับลดระยะเวลาการค้ำประกันต่อพอร์ตโฟลิโอลงจาก 10 ปี เหลือเพียง 5-7 ปี
ภาพ: adventtr, Anthony Bradshaw / Getty image