×

อีกครั้งของพรรคประชาธิปัตย์ ฐานเสียงภาคใต้ อนาคตในสนามเลือกตั้ง

20.10.2025
  • LOADING...
อีกครั้งของ พรรคประชาธิปัตย์ ฐานเสียงภาคใต้ อนาคตในสนามเลือกตั้ง

ลึกลึกข้างในมันหวั่นมันไหวแปลกแปลก เธอรู้ไหมฉันเหมือนสิบสี่อีกครั้ง” เพลง 14 อีกครั้ง โดย เสก โลโซ-

 

“ผมว่า ถ้าอภิสิทธิ์หลบมาเป็นหัวหน้าอีกที มันเหมือนเพลง 14 อีกครั้ง ของเสก โลโซเลยแหละ อารมณ์มันพันนั้นจริง ๆ” หัวคะแนนในพื้นที่ภาคใต้คนหนึ่งวิเคราะห์ให้ฟัง

 

จากพรรคที่เคยรุ่งโรจน์ จนมีผู้คนในแวดวงการเมืองต้องต่อคิวสมัครเข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ เส้นทางของหลายคนเริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกพรรค ตัวแทนสาขาพรรคประจำจังหวัด ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์และรอโอกาสที่จะได้เสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคประชาธิปัตย์

 

ทว่าปัจจุบัน พรรคที่เคยเป็นความใฝ่ฝันของนักการเมืองจำนวนมาก กลับกลายเป็นพรรคที่ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆ ของผู้สนใจลงสมัคร โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้

 

หลังการรัฐประหารปี 2557 ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเปิดทางไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปในปี 2562 การเลือกตั้งครั้งนั้นถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อพรรคพลังประชารัฐ พรรคที่ถูกมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจจากคณะรัฐประหาร ลงสนามและสามารถคว้าที่นั่งในภาคใต้ได้ถึง 17 ที่นั่ง พลิกโฉมสมรภูมิการเมือง ที่พรรคประชาธิปัตย์ครองความเป็นเจ้าถิ่นมานานกว่าสองทศวรรษ

 

การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ ได้รุกคืบพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานเสียงเหนียวแน่นของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้พรรคคู่แข่งในอดีตอย่างไทยรักไทย พลังประชาชน หรือเพื่อไทย ภายใต้ ‘ตระกูลชินวัตร’ จะไม่สามารถเจาะพื้นที่นี้ได้สำเร็จ แต่พรรคพลังประชารัฐกลับทำได้ โดยมีจุดร่วมที่น่าสนใจคือ สส.ส่วนใหญ่ของพรรคในภาคใต้ล้วนเป็น ‘ศิษย์เก่า’ หรืออดีตผู้ช่วยนักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น

 

ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่เพียงเป็นบาดแผลทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยังส่งผลสะเทือนถึงผู้นำพรรคในขณะนั้น อย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทันที หลังพรรคตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งที่ก่อนการเลือกตั้ง คุณอภิสิทธิ์เคยประกาศจุดยืนชัดเจนว่า จะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์

 

จนถึงการเลือกตั้งปี 2566 พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญศึกใหญ่ในสนามการเมืองภาคใต้ภายใต้การนำของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคคนใหม่ ‘เลือดพังงา’ ผู้ถูกวางภาพให้เป็น ‘ชายขี่ม้าขาว’ พร้อมเพลงโปรโมตพรรคในชื่อ ‘เช้าวันใหม่’ และสโลแกนประจำตัวที่ว่า ‘ทำได้ไว ทำได้จริง’ เพื่อสื่อสารถึงความตั้งใจจะกู้ศรัทธาพรรคเก่าแก่ให้กลับมาอีกครั้ง

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงการเตรียมศึกเลือกตั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญกับการสูญเสียกำลังสำคัญ เมื่อสมาชิกพรรคหลายคนย้ายไปอยู่กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขณะเดียวกัน คุณกรณ์ จาติกวณิช อดีตรองหัวหน้าพรรค ก็ได้แยกตัวไปตั้ง พรรคกล้า ก่อนจะรวมกับ พรรคชาติพัฒนา กลายเป็น พรรคชาติพัฒนากล้า

 

ผลการเลือกตั้งปี 2566 กลับกลายเป็นบทสรุปที่ขมขื่น พรรคประชาธิปัตย์ได้ สส.เข้าสภาเพียง 25 คน ซึ่งถือเป็นจำนวนต่ำสุดในประวัติศาสตร์พรรค ความพ่ายแพ้ครั้งนี้นำไปสู่การประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคของ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จาก ‘ชายขี่ม้าขาว’ ผู้หวังนำพาพรรคฟื้นคืนสู่ความรุ่งโรจน์ กลายเป็น ‘อัศวินม้าไม้’ ที่ไม่อาจกู้ศรัทธาและพลังของพรรคในสนามการเลือกตั้ง

 

ในยุคที่เรียกกันว่า ‘ประชาธิปัตย์สีแดง’ ภายใต้การนำของเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค และ เดชอิศม์ ขาวทอง หรือ ‘นายกฯ ชาย’ ในตำแหน่งเลขาธิการพรรค พรรคประชาธิปัตย์ต้องเผชิญกับภาวะสับสนทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะในหมู่แฟนคลับและฐานเสียงดั้งเดิมที่เริ่มตั้งคำถามถึงทิศทางของพรรคในทางอุดมการณ์ทางการเมือง โดยการร่วมหัวจมท้ายกับพรรคเพื่อไทยที่เป็นคู่แข่งทางการเมืองมาตลอดสองทศวรรษกว่า ๆ

 

อย่างไรก็ตาม ในบริบทการเมืองปัจจุบัน นักการเมืองจำนวนมากต่างเข้าใจดีว่า ‘การได้อยู่ในรัฐบาล’ หมายถึงการมีอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นทั้งทรัพยากรและลมหายใจของการทำงานทางการเมือง เพราะกว่าจะได้เป็น สส. แต่ละคนต้องลงทุนลงแรงอย่างมหาศาล การได้อยู่ในรัฐบาลจึงเปรียบเสมือนการต่อชีวิตทางการเมือง

 

กระทั่งวันเวลาผ่านไปจนเกิดการเปลี่ยนขั้วทางอำนาจ รัฐบาล ‘สีน้ำเงิน’ ขึ้นมาบริหารประเทศ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ‘เปลี่ยนสีไม่ทัน’ และไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ ส่งผลให้พรรคตกขบวนเข้าสู่อำนาจทางการเมือง 4 เดือน ก่อนการเลือกตั้งใหม่ ความสั่นคลอนภายในพรรคยิ่งรุนแรงขึ้น จนในที่สุด เฉลิมชัย ศรีอ่อน ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค นับเป็นอีกบทหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ที่สะท้อนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งความไม่แน่นอนในสนามการเมืองไทย

 

วันที่ 18 ตุลาคม เป็นจุดชี้ชะตาสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อมีการเลือก หัวหน้าพรรคคนที่ 10 ซึ่งผลลัพธ์ย่อมส่งแรงสะเทือนไปถึงการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2569 อย่างแน่นอน บรรยากาศภายในพรรคยังคงเต็มไปด้วยความ สับสน อลหม่าน และการย้ายข้าง ของกลุ่มการเมืองต่างๆ

 

พรรคประชาธิปัตย์อาจกลับมา ‘สวมเสื้อสีฟ้า’ อีกครั้ง เพื่อย้ำอัตลักษณ์ดั้งเดิมของพรรคที่ผูกพันกับภาพลักษณ์ของความสุจริต แต่ความจริงกลับน่าขันอยู่ไม่น้อย เมื่อไม่มีใครจดจำได้ว่านโยบายของพรรคนี้คืออะไร หรือเคยทำสิ่งใดที่จับต้องได้ในระยะหลัง หากต้องนึกถึง ‘ผลงานเด่น’ ของพรรค ก็ดูจะย้อนกลับไปไกลถึงยุคปี 2535 สมัยชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ‘โครงการนมโรงเรียน’ เพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็กนักเรียน และนั่นแหละ คือสิ่งที่พรรคยังคงหยิบยกขึ้นมาหาเสียงอยู่จนถึงทุกวันนี้ ราวกับว่าวันเวลาผ่านไป แต่พรรคยังยืนยิ้มภาคภูมิอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน จนกระทั่งถึงวันนี้

 

แต่ในความเป็นจริงของสนามเลือกตั้งปี 2569 โดยเฉพาะในภาคใต้ พื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยย้อมด้วย ‘สีฟ้า’ แห่งประชาธิปัตย์อย่างแน่นหนา บัดนี้กลับกลายเป็นสมรภูมิใหม่ของทุน การเมือง และอำนาจรัฐ ที่เข้ามาแทรกซ้อน แข่งขัน และประลองเชิงอิทธิพลกันอย่างไม่ไว้หน้าใคร ความมั่นคงของพรรคการเมืองในอดีตพังทลายลงจากเหตุการณ์เลือกตั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา เหลือเพียงสนามที่เต็มไปด้วยการต่อรอง ผลประโยชน์ และความไม่แน่นอนที่กลายเป็น ‘ระเบียบใหม่’ ของการเมืองไทยยุคนี้

 

มิพักต้องพูดถึง ‘การเมืองบ้านใหญ่’ ที่กลายเป็นวาทกรรมเก่าซ้ำซากในทุกฤดูเลือกตั้ง เพราะแม้หลังการตั้งรัฐบาลใหม่ เสียงลือเรื่องการย้ายพรรค ย้ายขั้วยังไม่เคยเงียบ เหมือนพิธีกรรมทางการเมืองที่ทุกคนรู้ผลล่วงหน้า แต่ก็ยังต้องแสดงให้จบตามบท หากจะมองให้เห็นต้นตอของเรื่องนี้จริง ๆ ต้องย้อนกลับไปถึงการเลือกตั้งนายก อบจ. ในภาคใต้ที่ผ่านมา นั่นแหละคือสัญญาณแรกของการกลับมาขยับตัวของ ‘บ้านใหญ่’ ในแต่ละจังหวัด การเคลื่อนไหวที่ดูเงียบแต่ทรงพลัง และต่อมาก็ขยายไปทั่วทุกระดับ ทั้งเทศบาล อบต. และการเลือกตั้งท้องถิ่นเกือบทุกแห่ง ที่มักมีบ้านใหญ่ทั้งในบทผู้สมัครที่ยืนหน้าเวที และผู้กำกับที่อยู่หลังฉาก

 

แต่จะบอกว่าบ้านใหญ่เหล่านี้ยังคุมเกมได้ทั้งหมดก็คงเกินไป เพราะอิทธิพลที่เคยแน่นแฟ้นในบางจังหวัด เริ่มมีรอยร้าวให้เห็น ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามา โดยเฉพาะจากบ้านใหม่ที่เข้ามาท้าทายจากแรงหนุนของอำนาจทุนใหม่ และคนถืออำนาจรัฐแต่ละช่วงแต่ละจังหวะ

 

คำถามใหญ่ในตอนนี้จึงไม่ใช่ว่า ‘พรรคประชาธิปัตย์จะชนะหรือไม่’ แต่อยู่ที่ว่า ‘ใครกันแน่ที่จะยอมลงสมัครในนามของประชาธิปัตย์’ เพราะข่าวลือหนาหูว่า สส. เดิมของพรรคแทบทั้งหมดเตรียมย้ายไปอยู่พรรคอื่นแล้ว โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยและพรรคกล้าธรรม ที่กำลังรุกเข้ามาแย่งพื้นที่ภาคใต้อย่างดุดัน ฉะนั้นผู้สมัครในนามของพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ภาคใต้ครั้งนี้

 

ส่วนในสนามบัญชีรายชื่อ คู่แข่งตัวจริงที่รออยู่คือพรรคประชาชน ที่ได้รับแรงหนุนจากคนใต้ในบัญชีรายชื่ออย่างล้นหลามในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ในนามของพรรคก้าวไกล

 

นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนประเมินไปในทิศทางเดียวกันว่า ในการเลือกตั้งปี 2569 พรรคประชาชนอาจขึ้นแท่นเป็นพรรคอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยพรรคภูมิใจไทยที่กำลังใช้ทุนทางการเมืองและเครือข่ายอำนาจขยายอิทธิพลอย่างเงียบแต่หนักแน่น ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะยังพอมีชื่ออยู่ในสนามใหญ่ แต่ความจริงก็คือ เส้นทางที่เหลืออยู่ของพรรคเก่าแก่พรรคนี้ คงไม่พ้นการ ‘เข้าร่วม’ แต่จะเข้าร่วมด้วยเหตุผลอะไร ชุดความคิดใด และประชาชนจะซื้อไอเดียหรือไม่ นั้นก็เป็นภาระหน้าที่ของหัวหน้าพรรคและทีมบริหาร

 

และในสมการทางอำนาจเช่นนั้น ภาพของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ก็อาจหวนกลับมาปรากฏอีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะนายกรัฐมนตรีอย่างวันวาน หากแต่ในบทบาทใหม่ ‘ประธานสภาผู้แทนราษฎร’ ของรัฐบาลสมัยหน้า ภาพนั้นพาให้นึกถึง ‘นายหัวชวน’ ในวันที่เขานั่งเก้าอี้เดียวกัน ภายใต้รัฐบาลพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่หากจะมีแตกต่างกันอย่างสำคัญคือ แกนนำรัฐบาลหน้าจะเป็นพรรคใด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising