แต่ไหนแต่ไรมาหากขึ้นชื่อว่าเป็นของที่ตีตรา ‘Made in German’ แล้วของนั้นจะถูกมองว่าเป็นของดี มีความทนทานและประสิทธิภาพในการใช้งานสูง เรียกว่าซื้อมาใช้งานการันตีไม่มีคำว่าผิดหวัง
เหมือนในอดีตที่แฟนลูกหนังอังกฤษได้ตื่นเต้นกับ ‘ฉลามขาว’ เจอร์เกน คลินส์มันน์ ตำนานหัวหอกระดับพระกาฬที่ย้ายมาอยู่กับท็อตแนม ฮอตสเปอร์แบบสั้นๆ ในช่วงกลางยุค 90 ที่แม้ ‘คลินซี่’ จะไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ก็ยังแสดงถึงฝีเท้าระดับสุดยอดให้เป็นที่ประจักษ์ จนเป็นที่รักและคิดถึงของแฟนสเปอร์สจนถึงวันนี้
เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว มันก็แอบน่าสงสัยอยู่ไม่ใช่น้อยว่าทำไม๊…ทำไม ระยะหลังนักเตะชื่อชั้นดีๆที่อิมพอร์ตมาเยอรมัน ถึงดูไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากสักเท่าไรนักในพรีเมียร์ลีก
มาลองไขปริศนาไปด้วยกัน!
ในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกมีการใช้จ่ายเงินมากมายมหาศาลเกินกว่า 3,000 ล้านปอนด์ โดยที่เงินก้อนใหญ่ในนั้นเป็นการจ่ายให้กับสโมสรหลายแห่งในบุนเดสลีกา
ยกตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น ลิเวอร์พูลใช้เงินเกือบ 200 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัว โฟลเรียน เวียร์ตซ์ และ อูโก เอคิติเก มาเพื่อเติมเกมรุกจากไบเออร์ เลเวอร์คูเซน กับไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต
ขณะที่นิวคาสเซิลควักเงินอีก 69 ล้านปอนด์เพื่อตัดหน้าบาเยิร์น มิวนิค คว้า นิค โวลเทอมาเดอ มาจากสตุ๊ตการ์ต และสเปอร์สยอมจ่าย 51 8 ล้านปอนด์เพื่อแลกตัว ชาบี ซิมอนส์ เพลย์เมกเกอร์ดาวเด่นจากแอร์เบ ไลป์ซิก
เรียกได้ว่าพรีเมียร์ลีกเป็น ‘ปลายทาง’ สำหรับนักเตะฝีเท้าดีที่แจ้งเกิดเป็นดาวเด่นของลีกฟุตบอลเยอรมัน ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมามีนักเตะของดีทั้ง Import from German และ Made in German จำนวนมากที่ย้ายมาโชว์เพลงแข้งมากมาย
เปิดตำนานของดีเยอรมัน
หากจะย้อนไกลหน่อยนักเตะ Made in German ระดับตำนานคนแรกๆที่ได้ย้ายมาพรีเมียร์ลีกคือ เจอร์เกน คลินส์มันน์ ในฤดูกาล 1994/95 เพียงแต่ในตอนนั้นไม่ถึงกับเป็นการย้ายตรงจากเมืองเบียร์มาอยู่ในประเทศฟิชแอนด์ชิปส์โดยตรง เพราะสตาร์ทีม ‘อินทรีเหล็ก’ ย้ายมาจากโมนาโก (หลังย้ายออกจากอินเตอร์ มิลาน ลีกอันดับหนึ่งของโลกอีกที)
คลินส์มันน์ แม้จะอยู่กับสเปอร์สแค่ฤดูกาลเดียวในตอนแรกแต่ก็สร้างผลงานที่น่าประทับใจโดยทำไปถึง 20 ประตูจากการลงสนาม 41 นัด
และแม้ว่าจะย้ายออกไปแล้วแต่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตการเล่นได้มีโอกาสกลับมาที่ไวต์ ฮาร์ต เลน อีกครั้งในสัญญายืมตัวจากซามพ์โดเรีย ในช่วงกลางฤดูกาล 1997/98 และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยทำให้สเปอร์ส ที่กำลังย่ำแย่ในเวลานั้นรอดพ้นจากการตกชั้นได้
ศูนย์หน้าเจ้าของสมญาฉลามขาวจึงกลายเป็น Cult hero ในใจของแฟนตราไก่มานับตั้งแต่นั้น และมีส่วนในการทำให้เกิดภาพจำ
ถ้าเป็นนักเตะจากเยอรมัน รับประกันว่าเป็นของดีจริง
งานคัดเกรด AAA+
หลังจากนั้นเป็นต้นมามีนักเตะของดีเยอรมันย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกอีกหลายต่อหลายคน
แฟนเชลซี คงจำกันได้กับ ‘ไกเซอร์น้อย’ มิชาเอล บัลลัค ที่ย้ายมาจากบาเยิร์น มิวนิกแบบฟรีๆ ที่แม้จะไม่ถึงกับเปรี้ยงปร้างจัดแต่ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่พอจะบอกได้ว่าประสบความสำเร็จพอสมควรในพรีเมียร์ลีก
แฟนแมนเชสเตอร์ ซิตีเองใครจะลืม 2 เสาหลักของทีมอย่างแวงซองต์ กอมปานีย์ และเควิน เดอ บรอยน์ โดยคนแรกเป็นนักเตะระดับสตาร์ดาวรุ่งอนาคตไกลที่ตัดสินใจเชื่อในแนวทางของแมนฯ ซิตี ย้ายจากฮัมบูร์กมาร่วมทีมในปี 2008 ทั้งๆ ที่เวลานั้นซิตี ถูกมองว่าเป็นแค่ทีมตกอับที่เผอิญได้เจ้าของใหม่เป็นเศรษฐี
ขณะที่ ‘KDB’ กำลังระเบิดฟอร์มเทพกับโวล์ฟสบวร์ก ก็ถูกซิตีคว้าตัวมาร่วมทีมในปี 2015 และเป็นคนสำคัญที่ช่วยพาทีมประสบความสำเร็จกวาดแชมป์ทุกรายการมากมาย
นอกจากนี้ยังมี ลีรอย ซาเน ปีกจรวดในยุคแรกของเป๊ป กวาร์ดิโอลา, ยอสโก กวาร์ดิโอล กองหลังระดับท็อป ไปจนถึงในปัจจุบันกับเอร์ลิง ฮาแลนด์ ศูนย์หน้าระดับจอมมารก็ย้ายมาจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
สำหรับแฟนสเปอร์ส พวกเขาค้นพบเพชรเม็ดงามจากบุนเดสลีกาเช่นกันโดยเฉพาะจากทีมเลเวอร์คูเซน ไม่ว่าจะเป็น ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ หรือซน ฮึง-มิน ที่เป็นดาวเด่นระดับสูงสุดของสโมสร และในแนวรับก็ได้ มิกกี ฟาน เดอ เฟน ที่เป็นเสาหลักในปัจจุบันจากโวล์ฟสบวร์กเช่นกัน
ตาดีได้ ตาร้ายเสีย
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านักเตะจากเยอรมันจะประสบความสำเร็จในอังกฤษเสมอไป
ไม่เชื่อถามแฟนลิเวอร์พูลรุ่นลายครามได้ หากใครทันในช่วงยุคกลาง 90s คงจะพอคุ้นๆ กับชื่อของ คาร์ล-ไฮนซ์ รีดเลอ, ฌอน ดันดี และเอริค ไมเยอร์ได้
รีดเลอ นั้นความจริงแล้วเป็นกองหน้าระดับอ๋องคนหนึ่งของวงการฟุตบอลเยอรมัน เป็นส่วนสำคัญในทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ยุคเรืองรองที่เคยพิชิตแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกมาได้ และในเมืองไทยเองก็จะคุ้นกันในสมญา ‘ฉลามล้อคลื่น’ ผู้โลดแล่นกลางนาวา (ความจริงคือเก่งกาจนักเรื่องลูกกลางอากาศ)
แต่เมื่อย้ายมาอยู่ในแอนฟิลด์ในปี 1997 รีดเลอกลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง ไม่สมกับสิ่งที่เดอะ ค็อปมองหาเลย แม้ว่าจะพอได้เครดิตอยู่บ้างกับการเป็น ‘พี่เลี้ยง’ ให้กับไมเคิล โอเวน น้องใหม่ที่กำลังพุ่งมาแรงเกินห้ามใจในตอนนั้น (ซึ่งก็เป็นอีกเหตุผลที่รีดเลอในวัยโรยราต้องยอมคลื่นลูกใหม่ที่แรงกว่า)
อย่างไรก็ดีความเจ็บช้ำไม่เท่ากับในรายของ ชอน ดันดี ศูนย์หน้าที่ว่ากันว่าน่าจับตามองของทีมคาร์ลสรูเออร์ เอสซี ซึ่งลิเวอร์พูลคว้าตัวมาร่วมทีมท่ามกลางความตื่นเต้น แต่กลับกลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวจัดๆ
2 ฤดูกาลที่อยู่ในแอนฟิลด์ ดันดีได้โอกาสลงสนามเพียงแค่ 3 นัดเท่านั้น จืดจางจนแทบจะไม่เหลือที่ว่างในความทรงจำของใคร
โดยที่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันในปี 1996 ลิเวอร์พูลพยายามลองของจากบุนเดสลีกา โดยนำเข้าเอริค ไมเยอร์ กองหน้าเจ้าเวหาจากทีมไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ซึ่งแม้จะไม่ถึงกับล้มเหลวเท่าดันดี แต่ก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรมากนัก
ความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏคล้ายๆ อังเดร โวโรนิน กองหน้าทีมชาติยูเครนที่นำเข้าจากเลเวอร์คูเซนอีกเหมือนกันที่ย้ายมาในปี 2007 แต่ก็ได้โอกาสลงเล่นน้อยนิด
ลิเวอร์พูลยัง ‘จั่ว’ นักเตะจากบุนเดสลีกามาอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต เฟอร์มิโน, อิบราฮิมา โกนาเต, นาบี เกอิตา, ติอาโก อัลกันตารา, โดมินิก โซโบสซ์ไล, วาตารุ เอ็นโด, ไรอัน คราเฟนแบร์ก และล่าสุดคือเวิร์ตซ์ กับเอกิติเก
ผลประกอบการนั้นออกมาดีบ้างไม่ดีบ้างคละเคล้ากันไป
ทำไมพรีเมียร์ลีกชอบนำเข้านักเตะจากบุนเดสลีกา
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะที่ผ่านมานักเตะนำเข้าจากบุนเดสลีกานั้นมีราคาที่สมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับคุณภาพ น้อยมากที่จะย้ายด้วยค่าตัวแพง และด้วยพื้นฐานของบุนเดสลีกา ถือเป็นหนึ่งในลีกระดับท็อปของยุโรปติด 1 ใน 5 อยู่แล้ว
ดังนั้นหมายถึงการันตีได้พอสมควรในเรื่องของคุณภาพ
บวกกับ ‘ประวัติ’ ที่ผ่านมาหลายสโมสรได้ของดีคุ้มราคามาจากเยอรมัน ทำให้ค่อนข้างติดใจ ไหนจะเรื่องของการเจรจาที่ง่ายไม่ซับซ้อน ไม่เหลี่ยมเยอะ พูดคุยกันตรงไปตรงมา พอใจก็ขาย ไม่พอใจก็เอาไว้ก่อนไม่มีตุกติกจัด
เปรียบเป็นร้านค้าในตลาดก็เหมือนร้านประจำที่เชื่อมือกัน รู้ว่าไม่โดนเอาเปรียบหรือย้อมแมวขายแน่นอน
แต่ระยะหลังทำไมถึง….
อย่างไรก็ดี ปฏิเสธได้ยากว่าในระยะหลังนักเตะที่ย้ายมาจากบุนเดสลีกา ไม่ได้การันตีความสำเร็จเสมอไป
ภาพหลอนมันอาจจะเริ่มตั้งแต่รายของ ติโม แวร์เนอร์ หัวหอกตัวท็อปในเยอรมนีที่เชลซีตัดหน้าลิเวอร์พูล คว้าตัวมาได้จากไลป์ซิก ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวที่สุดตลอดกาลของทีมสิงห์น้ำเงิน
ภาพนั้นยิ่งถูกตอกย้ำขึ้นไปอีกในรายของ ไค ฮาเวิร์ตซ์ นักเตะระดับเพชรยอดมงกุฎของบุนเดสลีกา ที่เชลซีตัดสินใจทุ่มเงินอีกครั้งเพื่อคว้าตัวมาจากเลเวอร์คูเซน ที่ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้สมกับที่คาดหวังไว้ ยังดีที่ปล่อยไปให้อาร์เซนอลได้ในราคาโอเค (และก็ยังไม่สามารถแจ้งเกิดเต็มตัวกับกันเนอร์สได้เหมือนกัน)
ก่อนที่จะมาถึงรายที่โดนเพ่งเล็งอย่างหนักกับโฟลเรียน เวียร์ตซ์ ที่นับจากเกมเปิดสนามกับบอร์นมัธในเดือนสิงหาคม ซูเปอร์สตาร์เจ้าของสมญา ‘ร้อยปีจะมีสักคน’ ยังไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้กับลิเวอร์พูลได้เลย
เรื่องนี้มันเลยทำให้ดูน่าสงสัยว่าทำไม ‘ตัวท็อป’ ของบุนเดสลีกาถึงล้มเหลว
ความจริงย้อนกลับไปอีกนิดยังมี เจดอน ซานโช ที่น่าผิดหวังด้วยกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งๆ ที่ก่อนย้ายกลับมาเล่นในบ้านเกิดคือหนึ่งในนักเตะที่โดดเด่นและน่าจับตามองมากที่สุดของวงการฟุตบอล ด้วยลีลาการเล่นสุดอัศจรรย์
คำถามทั้งหมดนี้ในเยอรมนีเองก็สงสัยเหมือนกัน
บุนเดสลีกามาตรฐานเท่าเดิม
ในวงการฟุตบอลเยอรมันมีการวิเคราะห์ถึงเหตุและผลว่าทำไมนักเตะจากบุนเดสลีกาหลายรายที่ควรจะไปได้ดีในพรีเมียร์ลีกถึงล้มเหลว
เหตุผลแรกที่มีการพูดถึงใน DW สื่อดังเมืองเบียร์คือเรื่องอิทธิพลของบาเยิร์น มิวนิค ที่สูงเกินไปและสูงมานาน เรียกว่าอยากจะซื้อใครก็ได้ทั้งนั้นในเยอรมนี ทำให้ลีกเกิดการผูกขาดยาวนาน ไม่มีการแข่งขันที่ดีพอ และทำให้บุนเดสลีกาค่อยๆอ่อนแอลงอย่างช้าๆ
แต่สิ่งที่น่าสังเกตคือในฤดูกาลนี้บาเยิร์น โดนหักหน้าถึง 2 รายติดอย่างเวียร์ตซ์ และโวลเทอมาเดอ ที่หากเป็นปกติแล้วควรจะเลือกย้ายไปอยู่กับพวกเขาในแคว้นบาวาเรียมากกว่า แต่กลับเลือกจะย้ายไปพรีเมียร์ลีกที่ดึงดูดกว่าแทน
แปลว่าบาเยิร์นกำลังเสื่อม และมันคือความเสื่อมของวงการฟุตบอลเยอรมันด้วย
โดยนับจากปี 2022 เป็นต้นมาไม่มีสโมสรในบุนเดสลีกาคว้าแชมป์ระดับทวีปได้เลย ขณะที่ทีมชาตินั้นตกต่ำต่อเนื่องหลังจากคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2014 ได้ที่ประเทศบราซิล คุณภาพนักเตะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับที่แพ้ญี่ปุ่นถึง 2 ครั้ง
ในทางตรงกันข้ามพรีเมียร์ลีกเองก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากเม็ดเงินมหาศาลในเรื่องค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด โดยบุนเดสลีกาทำเงินรายได้รวมทั้งโลกได้ 4.8 พันล้านยูโรในฤดูกาล 2023/24 น้อยกว่าพรีเมียร์ลีกที่ทำเงินได้ 7.4 พันล้านยูโรถึงเกือบ 3 พันล้านยูโร
เงินที่ต่างกันมากขนาดนี้มีผลอย่างมาก โดยจะสังเกตจากสโมสรในระดับรองของพรีเมียร์ลีกมีศักยภาพในการแข่งขันสูงมาก สามารถดึงผู้เล่นชั้นดีเข้ามาเสริมทัพได้รวมถึงบุคลากรฟุตบอลระดับท็อป ยกระดับสู้กับทีมหัวแถวได้อย่างสนุก
การแข่งขันที่เข้มข้นก็ทำให้คุณภาพของพรีเมียร์ลีกสูงขึ้นไปด้วย และน่าดึงดูดสำหรับนักเตะจากทั่วโลกที่อยากจะมาท้าทายตัวเอง และแน่นอนเงินทองรายได้ก็มากมายมหาศาลด้วยเช่นกัน
ฟอร์มหนืดของเวียร์ตซ์ ที่ปรับตัวกับความหนักหน่วงรวดเร็วของฟุตบอลอังกฤษไม่ได้ เป็นหนึ่งในหลักฐานคาตาที่ชัดเจน สวนทางกับฟอร์มของหลุยส์ ดิอาซ หรือแฮร์รี เคน ที่ย้ายจากลีกอังกฤษไปเป็นนักเตะเทวดาในลีกเยอรมัน (หรือแม้แต่ซานโช ในช่วงตกต่ำก็ยังฉายแววกับดอร์ทมุนด์ได้)
คำตอบสุดท้าย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องบอกว่าคำตอบสุดท้ายในเรื่องนี้ต้องวนกลับไปที่ตัวนักเตะเอง
เพราะไม่ได้ใครล่วงรู้หรือการันตีได้ว่าซื้อใครแล้วจะประสบความสำเร็จ เพราะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบอีกมากมายหลายอย่าง
เช่นรายของโวลเทอมาเดอ สามารถแจ้งเกิดได้อย่างสวยงามกลายเป็นขวัญใจของแฟนสาลิกาดงแทนที่อเล็กซานเดอร์ อิซัคได้อย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ก่อนมาไม่ได้ถูกคาดหวังว่าจะปรับตัวได้รวดเร็วและเล่นได้ยอดเยี่ยมขนาดนี้ก็ตาม
แต่แน่นอนว่าบุนเดสลีกาเองก็มีงานของพวกเขาที่ต้องรีบยกระดับคุณภาพขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะค่อนข้างชัดเจนว่ากำลังเป็นรองลาลีกา หรือเซเรีย อาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ว่าแต่มีนักเตะจากเยอรมันคนไหนที่คิดถึงและโผล่มาในความทรงจำกันบ้างไหม?
อ้างอิง:
- https://www.dw.com/en/why-the-bundesliga-lags-behind-premier-league-and-la-liga/a-73682186
- https://www.transfermarkt.com/-quot-global-football-is-screwed-quot-how-the-bundesliga-feels-about-the-influx-of-premier-league-money/view/news/459996
- https://www.premierleague.com/en/news/4324097
- https://www.football365.com/news/bundesliga-tax-ranking-last-35-premier-league-signings-sancho-haaland-thiago
- https://www.theguardian.com/football/2025/jul/27/football-transfers-bundesliga-premier-league-history