×

เอกชนวอนทบทวน ‘ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่’ ห่วง SME เจ๊ง คนตกงานพุ่ง กระทบความสามารถแข่งขัน

14.10.2025
  • LOADING...
เอกชนวอนทบทวน ‘ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่’ ห่วง SME เจ๊ง คนตกงานพุ่ง กระทบความสามารถแข่งขัน

กกร. วอนทบทวน ‘ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่’ ที่เตรียมลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ไปจนถึงเพิ่มวันหยุด-วันลาอาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ SME นำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงาน จนกระทบต่อรายได้รวมของแรงงาน ย้ำโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ‘ยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนดังกล่าว’

 

วันนี้ (14 ตุลาคม 2568) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ได้ยื่นหนังสือถึงภาครัฐ และนายจรัส คุ้มไข่น้า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาชน และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. เพื่อแสดงข้อกังวลและข้อเสนอแนะต่อการปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ณ อาคารรัฐสภา

 

ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 25 เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ได้พิจารณาและมีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .. จำนวน 2 ฉบับ ที่เสนอโดยนายจรัส คุ้มไข่น้า และเสนอโดยนางสาววรรณวิภา ไม้สน พรรคประชาชน และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ขึ้นมาพิจารณาในรายละเอียดเป็นรายมาตรา ก่อนที่จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง โดยมีกำหนดการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการภายใน 15 วันนั้น กกร. เห็นว่าควรมีการดำเนินการอย่างรอบคอบ สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและความพร้อมของประเทศ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและความเชื่อมั่นของนักลงทุน

 

กกร. ยืนยันว่าภาคเอกชนสนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากล ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา และการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพื่อส่งเสริม Work-Life Balance อย่างไรก็ตาม การปรับลดชั่วโมงการทำงานจาก 48 ชั่วโมง เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ รวมถึงการเพิ่มวันหยุดและสิทธิการลาอื่น ๆ ตามร่างกฎหมายใหม่ อาจส่งผลให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยการผลิตเพิ่มขึ้นทันที โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ซึ่งกำลังเผชิญต้นทุนที่สูงและสภาพคล่องจำกัด อาจนำไปสู่การปิดกิจการและการเลิกจ้างแรงงาน

 

กกร. ระบุว่า การปรับลดชั่วโมงการทำงานยังอาจกระทบต่อรายได้รวมของแรงงาน และควรมีการประเมินผลกระทบเชิงปริมาณอย่างชัดเจน พร้อมจัดทำมาตรการรองรับที่เหมาะสม เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังไม่พร้อมต่อการปรับเปลี่ยนดังกล่าว หลายอุตสาหกรรมยังพึ่งพาแรงงานคน ขณะที่การใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยียังมีข้อจำกัดด้านเงินลงทุนและทักษะแรงงาน

 

นอกจากนี้ กกร. ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการจัดทำร่างกฎหมายควรเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ที่กำหนดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ยังขาดข้อมูลเชิงปริมาณที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง

 

เปิดข้อเสนอภาคเอกชน

 

จากข้อกังวลดังกล่าว กกร. จึงเสนอแนวทางเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการคุ้มครองแรงงานและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดังนี้

 

1. คงไว้ซึ่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งมีความเหมาะสม สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจและมาตรฐานสากลขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) แล้ว

 

2. กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) 5–10 ปี เพื่อให้ภาคธุรกิจและแรงงานปรับตัว ลงทุนเทคโนโลยี และพัฒนาทักษะก่อนบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยลดแรงกระแทกต่อระบบเศรษฐกิจและรักษาความต่อเนื่องของการจ้างงาน

 

3. เชื่อมโยงการปรับกฎหมายกับนโยบายพัฒนาเทคโนโลยีและทักษะแรงงาน โดยรัฐควรสนับสนุนการใช้ระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และมาตรการ Reskill & Upskill เพื่อยกระดับทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน

 

4. เพิ่มความยืดหยุ่นของกฎหมาย ให้เหมาะสมกับลักษณะงานและอุตสาหกรรม ไม่ควรใช้มาตรการเดียวกับทุกประเภทธุรกิจ แต่ควรเปิดโอกาสให้นายจ้าง–ลูกจ้างตกลงร่วมกัน เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพธุรกิจ

 

5. จัดแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษีหรือกองทุนสนับสนุนสำหรับธุรกิจที่ยกระดับแรงงานและนำระบบ Automation มาใช้จริง เพื่อสร้างแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน

 

6. เปิดพื้นที่รับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนอย่างเป็นทางการ โดยเสนอให้มีผู้แทนจากทั้ง 3 สถาบันภาคเอกชนเข้าร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อสะท้อนข้อมูลจากผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง

 

“กกร. เน้นย้ำให้พิจารณาทบทวนการผลักดันร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว เนื่องจากการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานควรดำเนินไปพร้อมกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อแรงงาน ภาคธุรกิจ และประเทศโดยรวม” แถลงการณ์ทิ้งท้าย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising