ในจังหวะที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยชะลอลงต่อเนื่อง ไตรมาส 1 โตเพียง 3.2%, ไตรมาส 2 ลดเหลือ 2.8%, ไตรมาส 3 ราว 1.7% และแนวโน้มไตรมาส 4 อาจเหลือเพียง 0.3% หากไม่มีใครลุกขึ้นทำอะไร เศรษฐกิจไทยก็คงไม่ต่างจาก “รถที่กำลังไหลลงเหว”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมข้อจำกัดสำคัญที่สุด เวลาเพียง 4 เดือน และความคาดหวังจากสังคมให้ “หยุดรถที่กำลังดิ่งลง” และ “ขับกลับขึ้นเขา” ให้ได้อีกครั้ง
คำถามคือ แผนของเขาถูกออกแบบอย่างไร เพื่อพลิกเศรษฐกิจในเวลาที่จำกัดเพียงเท่านี้?
จุดเริ่มต้น: การตัดสินใจที่ใหญ่กว่าชีวิตราชการ
เอกนิติเติบโตจากระบบราชการเต็มตัว จากอดีตอธิบดีกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต กรมธนารักษ์ และสคร. ก่อนถูกเชิญตัวให้มากุมบังเหียนนโยบายการคลังระดับประเทศในภาวะเวลาเร่งด่วน
สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจคือ “Purpose” ความหมายของการใช้ “24 ชั่วโมงที่เท่ากัน” ไปกับการทำงานที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศในวงกว้างกว่าเดิม
พร้อมกับ “ข้อตกลงสำคัญ” ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นกับนายกรัฐมนตรี กล่าวคือ ต้องได้อิสระเต็มที่ในการทำงาน เลือกทีมเองทั้งหมด และไม่มีการเมืองเข้ามาแทรกแซง เพื่อให้ทุกการตัดสินใจในเวลาจำกัดนั้น ตรงเป้า ตรงเวลา และตรงปัญหาที่แท้จริง
กรอบคิด: Quick Big Win (QBW) — สั้น แต่ได้ผลยาว และกระจายตัว
เมื่อเวลามีจำกัดเพียง 4 เดือน เอกนิติเลือกใช้กรอบคิด Quick Big Win (QBW) เพื่อให้การแก้ปัญหาเศรษฐกิจเกิดผลได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ยังสร้างประโยชน์ต่อเนื่องในระยะยาว
- Quick (กระตุ้นสั้น): ทำได้ทันทีด้วยเครื่องมือที่รัฐมีอยู่แล้ว
- Big (ได้ผลยาว): ออกแบบให้ทิ้งโครงสร้างผลลัพธ์ถาวร
- Diffuse (กระจายตัว): เงินไม่กองที่รายใหญ่ แต่ลงสู่ฐานเศรษฐกิจแท้จริง
ภายใต้กรอบ “5 เสาหลัก 1 ฐานราก” เอกนิติย้ำว่า วินัยการคลัง คือฐานรากของทุกการขยับ การกระตุ้นใดๆ ต้องบอกแหล่งเงินชัดเจน และไม่สร้างภาระหนี้เกินจำเป็น
“เราไม่ต้องทำระบบใหม่ทั้งหมด แค่ต่อยอดสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แล้วใส่ ‘Plus’ ที่สร้างผลระยะยาวเข้าไป
ผ่าปัญหาเศรษฐกิจไทย: “ติดหล่ม” และเสี่ยง “ดิ่งเหว”
“ถ้าเราไม่ทำอะไร รถจะดิ่งลงและตกเหวแน่นอน” ทางแก้จึงต้อง เร็ว ตรงจุด และมีคันโยกระยะยาว โดยทีมเศรษฐกิจตั้งโจทย์จากความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- ปัจจัยภายนอก: ภาษีทรัมป์ (Trump’s tariffs) กระตุ้นการส่งออกแบบ Front Load ในครึ่งปีแรก ส่งผลให้ครึ่งปีหลังแผ่วลง
- โครงสร้างภายใน: เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออก 60% ของ GDP เมื่อส่งออกแผ่ว การเติบโตจึงสูญแรง
- หนี้ครัวเรือนสูง: ทำให้การกระตุ้นบริโภคทำได้จำกัด
- การลงทุนเอกชนต่ำ: กำลังการผลิตโรงงานใช้เพียง ประมาณ 60% สะท้อนความลังเลของภาคธุรกิจ
เครื่องมือเร่งด่วนต้องทำทันที
คนละครึ่งพลัส (KLR Plus): จาก “ถุงเงิน–เป๋าตังค์” สู่ Reskill ที่จับต้องได้
เอกนิติไม่เสียเวลา “สร้างระบบใหม่” แต่ต่อยอดเครื่องมือดิจิทัลของรัฐที่พร้อมใช้งานทันที ได้แก่ ถุงเงินและเป๋าตังค์ โดยเติม “Plus” ให้ เกิดผลยาว ผ่าน หลักสูตรสั้นในแอป เน้น 3 เรื่อง:
- ขายออนไลน์ให้ปัง
- ลดต้นทุน
- บัญชีง่ายๆ
เป้าหมายเชิงโครงสร้าง: ให้พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย เข้าถึงสินเชื่อธนาคาร แทนการกู้นอกระบบผ่านการทำบัญชีที่ตรวจสอบได้
ดีไซน์เพื่อความเป็นธรรม: ไม่ให้ Modern Trade เข้า เน้น Micro SME และร้านค้ารายย่อย เพื่อให้เม็ดเงิน กระจายทั่ว
วินัยการคลังชัดเจน: ใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ 25,000 ล้านบาท + งบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท — ไม่กู้เพิ่ม
ผลคาดหวัง: กระตุ้น GDP 0.3–0.4% และดัน Q4 ให้ เกิน 1% เมื่อรวมผลจากมาตรการทั้งหมด
หมุนเศรษฐกิจด้วยงบราชการ–รัฐวิสาหกิจ
อีกหนึ่งเครื่องมือเร่งด่วนที่เอกนิติหยิบมาใช้ คือการ “เร่งหมุนเงินในระบบ” ผ่านงบประมาณของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยสั่ง Front Load งบอบรมสัมมนากว่า 7,000 ล้านบาท (แบ่งเป็น หน่วยงานราชการ 3,600 ล้านบาท และรัฐวิสาหกิจกว่า 3,000 ล้านบาท)
เขากำหนดให้หน่วยงานเบิกจ่ายได้อย่างน้อย 70% ภายใน 3 เดือนแรก (ต.ค.–ธ.ค.) และเน้นให้จัดกิจกรรมหรืออบรมใน “เมืองรอง” เพื่อให้เงินกระจายลงสู่ท้องถิ่น ไม่กระจุกอยู่ในเมืองใหญ่
ในขณะเดียวกัน ยังวาง “คันโยกระยะยาว” สำหรับภาคการท่องเที่ยว ด้วยมาตรการภาษีเพื่อ สนับสนุนการปรับปรุง (Renovation) โรงแรมในเมืองรอง — เช่น การเปลี่ยนระบบปรับอากาศใหม่ ซึ่งถือเป็นการลงทุนถาวร โดยให้สิทธิ์ หักค่าใช้จ่ายได้ 1.5–2 เท่า เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลงทุนต่อเนื่อง
ฐานราก: วินัยการคลังคือหัวใจ
เอกนิติย้ำว่า ทุกมาตรการต้องยืนอยู่บนฐานของ “วินัยการคลัง” ไม่ใช่เพียงการกระตุ้นระยะสั้น โดยวาง สามเสาหลักของฐานรากการคลัง ไว้อย่างชัดเจน:
- โปร่งใส: ทุกโครงการต้องเปิดเผยแหล่งเงินและต้นทุนภาษีที่สูญเสีย เพื่อให้สังคมตรวจสอบได้
- อุดรอยรั่ว: การบริจาคเพื่อลดหย่อนภาษีต้องทำผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น พร้อมเดินหน้าใช้ระบบ e-Tax Invoice และ e-Withholding Tax เพื่อเพิ่มความถูกต้องของข้อมูล
- คุมรายจ่าย: ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น งบดูงานต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อเงินสาธารณะ
ในมุมของการลงทุนภาครัฐ เอกนิติชี้ว่า หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยยัง “ติดกับดักรายได้ปานกลาง” คือ สัดส่วนการลงทุนของประเทศที่ลดลงอย่างมาก จากเดิมกว่า 40% ของ GDP ก่อนวิกฤตปี 2540 เหลือเพียงราว 20% ในปัจจุบัน — ซึ่งถือว่าต่ำเกินไปสำหรับประเทศที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน
เพราะฉะนั้น รัฐจึงต้องเร่ง ดึงภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน (PPP) และใช้เครื่องมือใหม่อย่าง Thailand Future Fund (TFF) เพื่อระดมทุนจาก รายได้ในอนาคต แทนการกู้เงินโดยตรง ซึ่งจะช่วย ลดภาระหนี้สาธารณะของประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังมี “หลักวินัยใหม่” ที่เอกนิติวางไว้ชัดเจนว่า หากโครงการใดมีรายได้ในอนาคต ต้องใช้ TFF ก่อน ห้ามขอกู้เงินโดยง่าย เพื่อให้ทุกโครงการลงทุนของรัฐอยู่ภายใต้กรอบวินัยทางการคลังอย่างแท้จริง.
ปฏิรูปแรงจูงใจภาษี: จากผลิตภัณฑ์บังคับ สู่ “ISA” ให้ประชาชนเลือกเอง
ด้วยเวลาที่มีเพียง 4 เดือน เอกนิติเลือกแนวทางปฏิรูปเชิงกติกา มากกว่าการแก้กฎหมายใหญ่ โดยใช้วิธีปรับในระดับกฎกระทรวงและพระราชกฤษฎีกา เพื่อให้เกิดผลได้เร็วในทางปฏิบัติ
หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการเสนอ Individual Saving Account (ISA) ระบบลดหย่อนภาษีแบบใหม่ ที่ให้ประชาชนมีอิสระเลือกการออมและการลงทุนได้เอง แทนระบบเดิมที่ผูกกับผลิตภัณฑ์เฉพาะ เช่น RMF, LTF หรือประกันชีวิต ซึ่งอาจสร้างแรงจูงใจที่บิดเบือนตลาด
สาระสำคัญของ ISA คือ:
- ยกเลิกการบังคับผูกกับผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่ง
- กำหนดวงเงินลดหย่อนรวม (เช่น 500,000–800,000 บาท)
- ให้ผู้เสียภาษีเลือกลงทุนได้เอง ทั้งหุ้น พันธบัตร หรือตลาดต่างประเทศ ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
แนวคิดนี้ยังสอดคล้องกับโครงการ KLR Plus ที่ต้องการ “ให้เครดิตกับคนในระบบ” เช่น ผู้ที่ยื่นภาษีอย่างถูกต้องจะได้รับสิทธิมากกว่า — ได้เงินเพิ่มจาก 2,000 บาท เป็น 2,400 บาท
ในส่วนของ Data Privacy เอกนิติยืนยันว่า ระบบ KLR Plus เป็น “ระบบปิด” ข้อมูลธุรกรรมจะไม่ถูกส่งให้กรมสรรพากร และการเสียภาษียังคงเป็น “หน้าที่ของประชาชน” หากมีรายได้เกินเกณฑ์ประมาณ 500,000 บาทต่อปี.
หนี้ครัวเรือน: แก้ด้วย AMC อย่างเข้าใจความจริง
ปัญหา หนี้ครัวเรือนสูง คือ “ห่วงโซ่” ที่ฉุดรั้งการบริโภคของประเทศให้ชะลอตัว เอกนิติเลือกใช้กลไก AMC (Asset Management Company) ที่มีอยู่แล้วในระบบ เช่น SAM และ BAM เข้ามาช่วยฟื้นฟูแหล่งเงินทุนมาจากกองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ประมาณ 26,000 ล้านบาท เพื่อนำมาซื้อหนี้เสียรายย่อยจากธนาคารพาณิชย์ ในราคาที่หักหลังตั้งสำรองแล้ว (เหลือมูลค่าประมาณ 40%)
กระบวนการฟื้นฟูหนี้:
- ยืดอายุหนี้ และตัดต้นเงิน เพื่อให้ลูกหนี้มีภาระผ่อนที่เบาลง
- กำหนด Cut-Off Date ชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Moral Hazard หรือพฤติกรรมตั้งใจเป็นหนี้ใหม่เพื่อรอการช่วยเหลือ
- โฟกัสที่ลูกหนี้รายย่อยวงเงินเล็ก ไม่เกิน 100,000 บาท ซึ่งมีมากกว่าล้านรายในระบบธนาคาร
จาก “คลัง” สู่ “ตัวเชื่อมประเทศ”: บูรณาการเชิงนโยบาย
ปัญหา NE&O (Net Errors and Omissions) หรือความคลาดเคลื่อนในดุลการชำระเงิน สะท้อนปัญหาใหญ่ของระบบราชการไทย การไม่บูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน
เอกนิติจึงวางบทบาทใหม่ให้ กระทรวงการคลัง เป็น “ตัวเชื่อมประเทศ” หรือ Connect the Dot ระหว่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) – สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) – และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้การติดตาม “เงินทุนไหลเข้า–ออก” มีความสอดคล้องกันมากขึ้น ลดความคลาดเคลื่อนในบัญชี และลดความคลุมเครือในการสื่อสารต่อสาธารณะ
“เราทำงานตรงไปตรงมา เคารพอิสระเชิงเครื่องมือของ ธปท. แต่ต้องสอดประสานนโยบายเพื่อช่วยประเทศ”
ในกรณีที่มีข่าวเรื่อง การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา มูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท (หรือ 2,000 ล้านดอลลาร์) เอกนิติย้ำว่า ปริมาณนี้ ไม่ใช่สาเหตุหลักของเงินบาทแข็งค่า เพราะมีสัดส่วนเล็กมาก เมื่อเทียบกับการเคลื่อนย้ายเงินทุนทั้งหมดของประเทศ
วางเครื่องยนต์ใหม่: S-Curve ที่ต่อยอดจากฐานเดิม
การมองอนาคตเศรษฐกิจไทย ต้องยืนอยู่บน “รากฐานที่มีอยู่แล้ว” เอกนิติจึงระบุ 4 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่สามารถต่อยอดได้จริงจากจุดแข็งเดิมของประเทศ
- Data Center: ต่อเนื่องจากฐานการผลิต Server และ Hard Disk เดิม แต่ต้องเร่งแก้ปัญหา “คอขวด” ด้านน้ำ ไฟ และสายส่ง
- EV/Hybrid: สานต่อจากฐานอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป เน้นการสร้างแรงงาน ชิ้นส่วน และอีโคซิสเต็มใหม่
- BCG (Bio-Circular-Green): มุ่งพลังงานสะอาดและเศรษฐกิจสีเขียว
- Automation & Semiconductor: ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต สู่ห่วงโซ่มูลค่าสูง
Fast Pass: ปลดล็อกการลงทุนกว่า 4 แสนล้านให้เกิดจริง
แม้ BOI จะอนุมัติการลงทุนไปแล้วกว่า 400,000 ล้านบาท แต่หลายโครงการกลับติดขัดด้วยกฎระเบียบภายในประเทศ
เอกนิติจึงตั้งกลไก “Fast Pass” ผ่านคณะกรรมการเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) เพื่อเร่งรัดแก้คอขวดแบบ “จุดต่อจุด” ทำให้การลงทุนเดินหน้าได้จริง
Quick Win ที่พาโครงการจากกระดาษสู่ไซต์งาน
Reskill 100,000 คนใน 4 เดือน: Demand-Driven จริงจัง
แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานเฉพาะทาง ด้วยแนวคิด Demand-Driven โดยให้บริษัทที่ได้รับบัตรส่งเสริม BOI ระบุทักษะที่ต้องการ แล้วร่วมมือกับสถาบันการศึกษาจัด Short Course หรือ Bootcamp ตั้งเป้า Reskill/Upskill 100,000 คนใน 4 เดือน เพื่อให้ผลลัพธ์จับต้องได้จริง
Bridge Financing ให้ SMEs วิ่งทัน Grant
ปัจจุบัน BOI มี Business Transformation Grant สำหรับ R&D หรือเปลี่ยนเครื่องจักร แต่เงินจะจ่ายหลังโครงการเสร็จ
เอกนิติออกแบบ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบ “Bridge Financing” ผ่านธนาคารของรัฐและสมาคมธนาคาร ให้ผู้ประกอบการสามารถ กู้ไปทำโครงการได้ก่อน แล้วค่อยนำ Grant มาชำระคืนภายหลัง แนวทางนี้ช่วย ลดคอขวดสภาพคล่อง ที่มักทำให้ “นโยบายดีไปตายตอนปฏิบัติ”
เส้นชัย 4 เดือน: ความเชื่อมั่น – ทักษะคน – วินัยการคลัง
เมื่อถูกถามถึง “สามสิ่ง” ที่อยากเห็นผลลัพธ์มากที่สุดหลังครบวาระ 4 เดือน เอกนิติตอบสั้นแต่ชัดเจนว่าอยากเห็น:
- ความเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะศักยภาพการแข่งขันจากเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่
- ความสำเร็จเรื่อง Reskill และทักษะคน เพราะ “คนไทยเก่งแต่ขาดโอกาส”
- วินัยการคลังที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักลงทุนและสังคมโลก
“สิ่งที่ผมกังวลที่สุดคือ ‘ความต่อเนื่อง’ ถ้าสิ่งที่ทำมาดี ก็อยากให้ใครก็ตามที่มาทำต่อ ทำเพื่อประเทศต่อจริง ๆ”
โดยท้ายสุดเอกนิติสรุป “จิตวิญญาณของการเปลี่ยนผ่าน” ของประเทศไทยไว้ 3 ข้อสำคัญ:
- เปิดใจรับฟัง: โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีจิตสาธารณะสูง
- บูรณาการ: เลิกทำงานแบบไซโล และดึง “ความเก่ง” ของแต่ละฝ่ายมาทำงานร่วมกัน
- โปร่งใส: บอกให้ชัดว่า “ทำอะไรได้–ไม่ได้” แหล่งเงินและต้นทุนเท่าไร เพื่อให้สังคมร่วมออกแบบและปรับตัวได้รวดเร็ว