×

ทำไม พรรค Reform UK จึงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น? หรือนี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบสองพรรคใหญ่ในอังกฤษ

10.10.2025
  • LOADING...
ทำไม พรรค Reform UK จึงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น? หรือนี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของระบบสองพรรคใหญ่ใน อังกฤษ

ภาพการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในสหราชอาณาจักรกำลังเป็นที่จับตามอง เมื่อพรรค Reform UK ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงพรรคฝ่ายขวาขนาดเล็ก กลับสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองอังกฤษ ด้วยคะแนนนิยมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคเลเบอร์และพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่เคยสลับกันขึ้นมาครองอำนาจหลายทศวรรษ

 

ล่าสุด (กันยายน 2025) ผลสำรวจ MRP ของ YouGov คาดว่า หากมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น พรรค Reform UK จะได้ 311 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นถึง 40 ที่นั่ง เมื่อเทียบกับการคาดการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขดังกล่าวห่างจากจำนวนเสียงข้างมากในสภาเพียง 15 ที่นั่ง แสดงให้เห็นว่า ความนิยมของ Reform UK ใกล้มากที่จะได้สิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และต่อให้ยังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แต่จำนวนที่นั่งดังกล่าวก็เพียงพอที่จะทำให้พรรคสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อยู่แล้ว

 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ คุณมาศ ผู้อำนวยการศูนย์ยุโรปศึกษา และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ฉายภาพให้เห็นว่า ผลสำรวจดังกล่าวสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันของสหราชอาณาจักร และสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นต่อทั้งพรรคเลเบอร์และพรรคคอนเซอร์เวทีฟ

 

โดยสามารถเห็นปรากฎการณ์นี้ได้ชัดจาก ‘ผลการเลือกตั้งท้องถิ่น’ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา กล่าวคือ พรรค Reform UK สามารถคว้าที่นั่งได้กว่า 677 ที่นั่ง หรือคิดเป็น ร้อยละ 41 ของที่นั่งทั้งหมด และสามารถควบคุมสภาท้องถิ่นได้ถึง 10 แห่ง ในทางกลับกัน พรรคใหญ่ทั้งสองกลับมีผลงานที่ตกต่ำลง พรรคเลเบอร์ได้ที่นั่งจากการเลือกตั้งเพียงร้อยละ 6 (98 ที่นั่ง) ของที่นั่งทั้งหมด ซึ่งยังต่ำกว่าผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในปี 2015 ที่พรรคเคยทำได้ร้อยละ 7 ส่วนพรรคคอนเซอร์เวทีฟชนะเพียงร้อยละ 20 (319 ที่นั่ง) จากที่นั่งทั้งหมด

 

“คะแนนความนิยมของพรรค Reform UK กำลังท้าทายอำนาจครอบงำของสองพรรคใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน พรรคคอนเซอร์เวทีฟกำลังถูกผลักไปถึงจุดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จากการที่อาจสูญเสียที่นั่งแทบทั้งหมดในหลายภูมิภาคที่เคยเป็นฐานเสียงสำคัญ เช่น เวลส์ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ ขณะที่พรรคเลเบอร์ ผลสำรวจก็ชี้ว่ามีแนวโน้มจะสูญเสียที่นั่งในสภามากกว่าครึ่ง หากมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เรียกได้ว่าสองพรรคใหญ่กำลังถูกพรรค Reform UK และพรรคขนาดกลางอื่นๆ แย่งชิงฐานเสียงจนอันดับคะแนนถดถอยเป็นครั้งประวัติการณ์” รศ.ดร.ณัฐนันท์ กล่าว

 

บทความนี้จะชวนตั้งคำถามว่า เพราะเหตุปัจจัยใด จึงทำให้ประชาชนชาวอังกฤษจำนวนมากหมดความเชื่อมั่นทั้งในรัฐบาลปัจจุบันและฝ่ายค้านหลัก จนตัดสินใจหันไปเปิดรับพรรคทางเลือกใหม่อย่าง Reform UK ด้วยความรู้สึกว่าพรรคการเมืองดั้งเดิมไม่อาจตอบโจทย์ชีวิตพวกเขาได้อีกต่อไป

 

นโยบายต่อผู้อพยพ

 

แนวทางของพรรค Reform UK ให้ความสำคัญกับนโยบายที่ “เด็ดขาดต่อผู้อพยพผิดกฎหมาย” และพร้อมจะมีมาตรการที่รุนแรงกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาอย่างมาก โดยผลสำรวจของ Ipsos ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าร้อยละ 37 ของประชาชน เชื่อมั่นว่าพรรค Reform UK มีนโยบายจัดการปัญหาผู้อพยพได้ถูกต้องเหมาะสมที่สุด

 

ข้อมูลจากรัฐบาลอังกฤษในเดือนสิงหาคม 2025 ระบุว่า มีผู้อพยพจำนวนกว่า 28,076 คน เดินทางมายังสหราชอาณาจักรด้วยเรือเล็ก นับเป็นสถิติที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2024 รวมถึงตัวเลขของผู้อพยพที่ต้องพักในโรงแรมก็เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเช่นกัน

 

สถิติที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ความกังวลของสาธารณชนได้เพิ่มสูงขึ้นและสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อรัฐบาลปัจจุบันของเคียร์ สตาร์เมอร์ โดยมีการประท้วงหลายพื้นที่ทั่วประเทศอังกฤษ ตลอดช่วงไม่กี่เดือนมานี้ โดยเฉพาะตามโรงแรมที่พักของผู้ขอลี้ภัย

 

เหตุการณ์ชุมนุมครั้งใหญ่ในเดือนกันยายน 2025 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประท้วงกว่า 110,000 คน ณ กรุงลอนดอน ถือเป็น ‘จุดพีค’ ของกระแสต่อต้านดังกล่าว ผู้ประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการเข้าเมืองของผู้อพยพ แต่เหตุการณ์กลับบานปลายจนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย การประท้วงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงระดับความตึงเครียดของประเด็นผู้อพยพในสังคมอังกฤษ ซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นตลอดช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา

 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ ได้อธิบายถึง “นโยบายต่อผู้อพยพของแต่ละพรรคการเมือง” ว่า พรรคคอนเซอร์เวทีฟมักใช้วิธีผลักดันกฎหมายที่เข้มงวดต่อผู้อพยพมากขึ้น แต่วิธีการของพรรคคอนเซอร์เวทีฟยังคงถูกจำกัดอยู่ภายในกรอบกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศเดิม ในขณะที่พรรคเลเบอร์เน้นปรับตัวตามแรงกดดันของกระแสสังคม และพยายามนำเสนอนโยบาย ‘ทางสายกลาง’ ที่ทั้งควบคุมพรมแดน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ขัดหลักมนุษยธรรมและกฎหมายระหว่างประเทศ ส่งผลให้เมื่อประเด็นของผู้อพยพกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจเป็นอันดับหนึ่ง ความนิยมของพรรคเลเบอร์จึงลดลง สอดคล้องไปกับความกังวลของผู้คน

 

นโยบายล่าสุดของพรรค Reform UK ภายใต้ชื่อ ‘Operation Restoring Justice’ มีสาระสำคัญคือ การปรับเปลี่ยนกรอบกฎหมายและพันธกรณีระหว่างประเทศเพื่อให้สามารถส่งกลับผู้อพยพผิดกฎหมายได้อย่างครอบคลุม โดยทางพรรคได้เสนอให้สหราชอาณาจักรถอนตัวจากอนุสัญญายุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ECHR) และยกเลิกกฎหมายสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ (Human Rights Act 1998) ซึ่งจะออกเป็น ‘กฎหมายสิทธิของสหราชอาณาจักร’ (Britain Bill of rights) ฉบับใหม่ในภายหลังแทน

 

นอกจากนี้ พรรคยังเสนอให้ผ่านกฎหมายว่าด้วยผู้อพยพฉบับใหม่ ที่ให้อำนาจรัฐสามารถกักตัวและส่งกลับผู้ลักลอบเข้าเมืองจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงมีแนวคิดที่จะใช้เรือของราชนาวีอังกฤษ ในการผลักดันหรือยิงเตือนเรือผู้อพยพที่พยายามเข้าสู่น่านน้ำของประเทศ นโยบายดังกล่าวจึงเป็นจุดแข็งสำคัญที่ทำให้สาธารณชนจำนวนมากให้ความมั่นใจต่อพรรค Reform UK อย่างมาก สำหรับมาตรการต่อผู้อพยพ

 

วิกฤตเศรษฐกิจ

 

วิกฤตเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญอยู่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นของคะแนนนิยมพรรค Reform UK

 

จากการสำรวจของ YouGov ในมีนาคม 2025 พบว่าร้อยละ 56 ของชาวอังกฤษต้องตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง และอีกร้อยละ 21% คาดว่าจะต้องเริ่มรัดเข็มขัดในไม่ช้า มีเพียงร้อยละ 19 เท่านั้นที่บอกว่ายังใช้จ่ายได้ปกติและไม่คิดว่าจะได้รับผลกระทบในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกัน ความพึงพอใจของประชาชนต่อการจัดการปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลอยู่ในระดับต่ำมาก โดยชาวอังกฤษถึง 81% เห็นว่ารัฐบาลของพรรคเลเบอร์บริหาร ‘วิกฤตค่าครองชีพ’ ได้ไม่มีประสิทธิภาพ

 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ วิเคราะห์ว่า พรรค Reform UK ใช้ประเด็นดังกล่าว (รวมถึงเรื่องของผู้อพยพ) โจมตีและชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลปัจจุบัน พร้อมเสนอนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดูเด็ดขาดมากกว่า เช่น ลดภาษีพลังงาน ยกเลิกเป้าหมาย Net Zero ที่ถูกมองว่าทำให้ค่าไฟขึ้น และเปิดแหล่งพลังงานฟอสซิลเพิ่มเพื่อลดค่าครองชีพและกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นต้น

 

เมื่อแรงหนุนจากประชาชนที่กำลังเดือดร้อนใจเรื่องปากท้องผนวกกับประเด็นผู้อพยพที่สังคมกำลังให้ความสนใจ จึงทำให้ Reform UK กลายเป็นพรรคที่ตอบโจทย์อารมณ์ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวนมากในช่วงเวลานี้
อย่างไรก็ตาม อาจารย์ณัฐนันท์มีความเห็นว่า ผลสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนว่าประชาชนเชื่อมั่นเต็มที่ว่าพรรค Reform UK จะจัดการเศรษฐกิจได้ดีกว่าพรรคอื่น เนื่องจากผลสำรวจ YouGov ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Reform UK กำลังนำโด่งในโพล (กันยายน 2025) พบว่า เมื่อให้ประชาชนเลือกเปรียบเทียบระหว่าง “พรรค Reform UK กับ รัฐบาลพรรคเลเบอร์ในปัจจุบัน ว่าใครจะบริหารเศรษฐกิจได้ดีกว่ากัน” คำตอบที่ได้คือ ร้อยละ 27 คิดว่ารัฐบาล Reform UK จะดีกว่า ในขณะที่ร้อยละ 25 ยังคงมองว่าพรรคเลเบอร์ทำได้ดีกว่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก

 

ผู้นำพรรคที่โดดเด่น

 

ภาพลักษณ์ผู้นำที่โดดเด่นเองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันคะแนนนิยมของ Reform UK ให้เพิ่มขึ้น

 

ไนเจล ฟาราจ หัวหน้าพรรค Reform UK ในปัจจุบัน เป็นบุคคลที่สาธารณชนอังกฤษรู้จักกันอย่างกว้างขวาง จากบทบาทในฐานะอดีตผู้นำพรรค Brexit ผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรปสำเร็จ

 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ มองว่าความสำเร็จดังกล่าวทำให้ฟาราจถูกมองว่าเป็น “ผู้ท้าทายระบบการเมืองเดิม” ที่มีผลงานเป็นรูปธรรม แตกต่างจากนักการเมืองอาชีพทั่วไป โดยผู้สนับสนุนมักมองว่าเขามีความตรงไปตรงมา พูดอะไรแล้วทำจริง เช่นที่เขาเคยทำสำเร็จมาแล้วในเรื่อง Brexit

 

ไนเจล ฟาราจ ถือเป็นศูนย์กลางในการปลุกปั้นความนิยมของพรรค Reform UK อย่างแท้จริง นับตั้งแต่เขาขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค Reform UK ฟาราจสามารถดึงฐานผู้สนับสนุนเดิมบางส่วนของตนติดตามมาด้วย และสามารถขยายไปยังกลุ่มใหม่ๆ ที่ผิดหวังกับพรรคการเมืองหลัก รศ.ดร. ณัฐนันท์ กล่าว

 

ประเมินความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป

 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ เชื่อว่า หากพรรค Reform UK ก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในการเมืองอังกฤษ ความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (EU) มีแนวโน้มจะเผชิญความตึงเครียดมากขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นผู้อพยพ และกรอบสิทธิมนุษยชนยุโรป (ECHR) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่พรรคประกาศชัดว่าจะผลักดันให้สหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากกรอบดังกล่าว

 

นโยบายนี้อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งข้อตกลงหลัง Brexit และข้อตกลงสันติภาพไอร์แลนด์เหนือ (Good Friday Agreement) ซึ่งต่างอิงอยู่กับกฎหมายและกลไกทางกฎหมายของยุโรป

 

ในด้านนโยบายต่างประเทศ รัฐบาลที่นำโดย Reform UK มีแนวโน้มจะดำเนินท่าทีที่มีความชาตินิยมและเป็นเอกเทศมากขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของชาติเป็นศูนย์กลาง และลดการพึ่งพาความร่วมมือแบบพหุภาคี (Multilateralism) ซึ่งพรรค Reform UK มีแนวโน้มจะหันไปสร้างพันธมิตรแบบทวิภาคี (Bilateral Relations) กับประเทศที่มีอุดมการณ์หรือผลประโยชน์ร่วมกันแทน

 

แม้แนวทางดังกล่าวอาจช่วยให้อังกฤษมีอิสระในการกำหนดนโยบายต่างประเทศมากขึ้นในระยะสั้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้ประเทศถูกมองว่า “โดดเดี่ยวในเวทีระหว่างประเทศ” และอาจสูญเสียอำนาจต่อรองกับสหภาพยุโรป ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการทูตในระยะยาว

 

ภาพ: Leon Neal / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising