คริสตาลินา กิออร์กิเอวา กรรมการผู้จัดการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มองว่า เศรษฐกิจโลกกำลังรับมือกับความท้าทายต่างๆ ได้ ‘ดีกว่าที่กังวล แต่แย่กว่าที่เราต้องการ’ (better than feared, but worse than we need) หลังจากความไม่แน่นอนในทั่วโลกสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ
“เตรียมตัวให้พร้อม เพราะความไม่แน่นอนจะยังคงมีอยู่” กิออร์กิเอวากล่าว ก่อนงานประชุมประจำปี (Annual Meetings) จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 13-18 ตุลาคมนี้
กรรมการผู้จัดการ IMF ต่อว่า “ในสัปดาห์หน้า เมื่อบรรดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางจากทั่วโลกมารวมตัวกันในการประชุมประจำปีของเรา คำถามเร่งด่วนที่สุดจะเป็นคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากพลังของการเปลี่ยนแปลง และความสับสนจากนโยบายที่เรากำลังพบเห็นอยู่”
พร้อมเปิดเผยว่า รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ของ IMF ที่จะอธิบายรายละเอียดในสัปดาห์หน้า เราคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเพียง ‘เล็กน้อย’ เท่านั้นในปีนี้และปีหน้า สัญญาณทั้งหมดชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจโลกโดยทั่วไปได้ต้านทานแรงกระแทกที่รุนแรงจากหลายปัจจัย เนื่องมาจาก
- พื้นฐานนโยบายที่ปรับปรุงดีขึ้น
- ความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชน
- ผลลัพธ์ ณ เวลานี้จากภาษีศุลกากรที่ไม่รุนแรงเท่าที่กังวลในเบื้องต้น
- ภาวะการเงินที่เอื้ออำนวย ตราบเท่าที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เหตุผลประการแรก พื้นฐานนโยบายที่ดีขึ้นและการทำงานประสานกันทั่วโลก
ความพยายามด้านนโยบายทั่วโลกส่งผลให้มีนโยบายการเงินที่น่าเชื่อถือมากขึ้น มีตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นกู้สกุลเงินท้องถิ่นที่ลึกมากขึ้น มีกฎระเบียบใหม่ทางการคลัง และในช่วงโควิดระบาด มีการดำเนินการทางการคลังที่รวดเร็ว เด็ดขาด และทำงานประสานกันทั่วโลก เพื่อจำกัดความเจ็บปวดในทันทีและแผลเป็นระยะยาว
ประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ ได้ปรับปรุงกรอบนโยบายและสถาบันของตนอย่างมีนัยสำคัญ เราเพิ่งเผยแพร่รายงาน ที่พบว่าประเทศกลุ่มนี้มีความสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตการเงินโลก นโยบายที่ดีสร้างความแตกต่าง
เหตุผลประการที่สอง ความสามารถในการปรับตัวของภาคเอกชน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งได้เร่งทำคำสั่งซื้อสินค้านำเข้าล่วงหน้าก่อนการขึ้นภาษีศุลกากร และกำลังปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานของตน รูปแบบการค้าโลกกำลังมีวิวัฒนาการและการปรับตัวในโลกขององค์กรธุรกิจ ความคล่องตัวนำมาซึ่งความสามารถในการฟื้นตัว งบดุลของบริษัทโดยทั่วไปมีความแข็งแรงหลังจากทำกำไรอย่างแข็งแกร่งมาหลายปี ปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังกลายเป็นกระแสหลัก นำมาซึ่งความท้าทายและโอกาส
เหตุผลประการที่สาม ภาษีศุลกากร ซึ่งไม่สร้างแรงกระแทกได้รุนแรงเท่าที่ประกาศไว้ในตอนแรก
อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐฯ ลดลงจาก 23% ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่ 17.5% ในปัจจุบัน แต่ยังคงสูงกว่าเมื่อก่อนมาก อัตราภาษีศุลกากรที่แท้จริงของสหรัฐฯ ในปัจจุบันยังสูงกว่าประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกอย่างมาก ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วอัตราภาษีศุลกากรคงที่ในปีนี้ และแทบจะไม่มีมาตรการตอบโต้กลับจากประเทศอื่น ๆ เลย
โดยสรุปแล้ว โลกยังคงหลีกเลี่ยงการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันในสงครามการค้าได้จนถึงขณะนี้ แต่กระนั้น ระดับการเปิดประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก เรื่องราวยังไม่จบลง อัตราภาษีของสหรัฐฯ ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อตกลงทางการค้ากับสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และอีกไม่นานก็จะมีเกาหลีใต้ ส่งผลให้อัตราภาษีเหล่านี้ให้ลดลง ขณะที่ข้อพิพาทกับบราซิลและอินเดียผลักดันให้อัตราของประเทศอื่นขยับขึ้น อัตราภาษีของประเทศอื่น ๆ ก็น่าจะขยับเช่นกัน
เหตุผลประการที่สี่ ภาวะการเงินที่เอื้ออำนวย โดยอาศัยแรงหนุนจากการมองศักยภาพของ AI ในด้านดีว่าอาจจะเพิ่มผลิตภาพให้สูงขึ้น ราคาหุ้นทั่วโลกจึงพุ่งสูงขึ้น
ปัจจัยนี้ ประกอบกับค่าชดเชยความเสี่ยงที่ต่ำ และค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในช่วงต้นปีนี้ ช่วยบรรเทาภาระหนี้ของผู้กู้ยืมที่ไม่ใช่ชาวสหรัฐฯ ที่มีหนี้สกุลเงินดอลลาร์ได้อย่างยิ่ง ส่งผลให้ตลาดทุนโดยทั่วไปเปิดกว้าง บริษัทและรัฐบาลหลายประเทศต่างกำลังคว้าโอกาสนี้ไว้
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้คือปัจจัยสี่ประการที่อยู่เบื้องหลังความสามารถในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เราพบเห็นในปีนี้
“บางท่านอาจจะถอนหายใจลึก ๆ ด้วยความโล่งอก แต่อย่าเพิ่งหยุดฟัง ความสามารถในการฟื้นตัวทั่วโลกยังไม่ได้รับการทดสอบอย่างเต็มที่” IMF จึงใคร่ขอเสนอเป้าหมายนโยบายระยะกลาง 3 ประการ ดังนี้
- ประการแรก: ยกระดับการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถสร้างงานมากขึ้น สร้างรายรับสาธารณะเพิ่มขึ้น และให้หนี้สาธารณะและเอกชนมีความยั่งยืนมากขึ้น
- ประการที่สอง: ซ่อมแซมฐานะการเงินของรัฐบาล เพื่อให้สามารถรับมือกับแรงกระแทกใหม่ๆ และแก้ไขปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนโดยไม่ผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ภาคเอกชนสูงขึ้น และ
- ประการที่สาม: แก้ไขปัญหาความไม่สมดุลทั่วโลกที่มากเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว เสถียรภาพภายนอกสะท้อนถึงการออมแนะเอเชียเร่งรุกการค้าในภูมิภาค
สำหรับเอเชีย กิออร์กิเอวา ขอเรียกร้องให้มีการขยายการค้าภายในภูมิภาคให้ครอบคลุมสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายมากขึ้น และผลักดันการปฏิรูปเพื่อเสริมสร้างภาคบริการให้แข็งแกร่ง และสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยการวิเคราะห์ของ IMF ชี้ให้เห็นว่า การผลักดันให้เกิดการบูรณาการระดับภูมิภาคเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากร อาจช่วยเพิ่ม GDP ได้ถึง 1.8% ในระยะยาว
หลายประเทศจำเป็นต้อง ‘รัดเข็มขัดทางการคลัง’
กิออร์กิเอวา กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น กดดันต้นทุนการกู้ยืมให้สูงขึ้น จำกัดการใช้จ่ายด้านอื่น และลดความสามารถของรัฐบาลในการรองรับแรงกระแทก ดังนั้น การรัดเข็มขัดทางการคลังจึงมีความจำเป็นในหลายเขตเศรษฐกิจ ทั้งรวยและจน
“การรัดเข็มขัดยังเป็นเรื่องยากเช่นกัน ดังที่เหตุการณ์ความไม่สงบทางสังคมหลายครั้งที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็น การซ่อมแซมงบประมาณของรัฐบาลจำเป็นต้องมีการวางแผน สื่อสาร และดำเนินการอย่างดี การลดการขาดดุลอย่างมีนัยสำคัญก็สามารถทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากได้รับแรงหนุนจากการเติบโตในระยะกลางที่สูงขึ้น”