วันนี้ (9 ตุลาคม) ที่อาคารรัฐสภา นพ. เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) แถลงข่าวกรณีที่วุฒิสภามีการแต่งตั้งรายชื่อ สว. ไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วนของ สว. จะคัดเลือกจากคณะกรรมาธิการสามัญทั้ง 20 คณะ โดยมี 1 คน จะมาจากคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง ส่วนอีก 11 คน จะมาจากการจับสลาก ซึ่งหนึ่งในนั้นที่จับสลากได้ คือคณะกรรมาธิการการกฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา ที่ตนเองเป็นกรรมาธิการอยู่
โดยในการประชุมของกรรมาธิการการกฎหมายฯ เพื่อคัดเลือกตัวเลือกตัวบุคคลที่จะไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวานนี้ (8 ตุลาคม) ซึ่งในช่วงแรกที่ประชุมเสนอ พล.ต.ท. บุญจันทร์ นวลสาย สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการ ไปเป็นตัวแทน แต่ พล.ต.ท. บุญจันทร์ ปฏิเสธ เพราะมีภารกิจมาก รวมถึง พล.ต.ต. อังกูร คล้ายคลึง สว. ในฐานะรองประธานกรรมาธิการฯ และ พล.ต.ท.วันไชย เอกพรพิชญ์ สว. ก็ปฏิเสธเช่นกัน ที่ประชุมจึงมีมติให้ตนเองเป็นตัวแทนคณะกรรมาธิการฯ ไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม นพ. เปรมศักดิ์ แปลกใจว่า หลังจากตนเองจับสลากได้ คณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ กลับมีหนังสือเรียกประชุมในวันที่ 10 ตุลาคม ในเวลา 10.00 น. โดยมีวาระพิจารณาที่ไม่ใช่เรื่องด่วน แต่ต้องการจะพิจารณารายชื่อตัวแทนของกรรมาธิการฯ ที่จะไปเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ จึงสงสัยว่า มีใบสั่งให้เปลี่ยนจากชื่อตนไปเป็นคนอื่นที่ควบคุมได้ใช่หรือไม่ ทั้งที่ตนเองก็เป็นผู้มีความเหมาะสม มีความรู้เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอย่างดี และยังเป็นผู้รวมรายชื่อ สว. ยื่นถามต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยอำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว คงเกรงว่า ตนเองจะเข้าไปขัดขวางการล็อกสเปคในครั้งนี้ก็เป็นได้ ส่วนบุคคลที่จะเลือกมาแทนนั้นจะเป็นใครตนเองไม่ทราบ
นพ. เปรมศักดิ์ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ปกติการนัดประชุมเช่นนี้ต้องแจ้งล่วงหน้า 3 วัน แต่ครั้งนี้กลับแจ้งวันนี้ และนัดประชุมพรุ่งนี้ ประกอบกับอาจจะทราบว่า ตนเองมีภารกิจที่จังหวัดขอนแก่นซึ่งนัดหมายไว้ล่วงหน้า และปกติวันศุกร์จะไม่มีการประชุมของกรรมาธิการอยู่แล้ว
นพ. เปรมศักดิ์ จึงเห็นว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็กังวลว่า รัฐธรรมนูญที่จะมีการร่างขึ้นมาอาจเป็นการล็อกสเปค กลายเป็นรัฐธรรมนูญสีน้ำเงิน จึงขอเรียกร้อง อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าอย่าชักใยอยู่เบื้องหลัง ให้ออกมาเบื้องหน้า และควรพูดโน้มน้าวให้ สว. ให้ความเห็นชอบในวาระ 1 เพราะต้องใช้เสียงสนับสนุนจาก สว. ไม่ต่ำกว่า 67 เสียง
นพ. เปรมศักดิ์ชี้ว่า หากมีการล็อกสเปคเช่นนี้ ก็เกรงว่าจะเกิดเป็นวิกฤตของรัฐธรรมนูญ หรืออาจทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรกไม่สำเร็จ เป็นอาถรรพ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ใครก็ไม่สามารถแก้ได้ และอย่าลืมว่า ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องทำเพราะอยู่ในข้อตกลง MOA หากไม่ทำจะผิดข้อตกลง
ทั้งนี้ นพ. เปรมศักดิ์ระบุด้วยว่า หากวันพรุ่งนี้ (10 ตุลาคม) ที่ประชุมมีมติเปลี่ยนชื่อตนเองให้เป็นคนที่ควบคุมได้ จะขอใช้สิทธิเรียกร้องที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ ให้ใช้ดุลยพินิจว่า กระบวนการเลือกบุคคลเข้าไปพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ เพราะตนเองมีหลักฐานเป็นบันทึกการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีมติเลือกตนเองไปแล้ว