องค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ส่งสัญญาณเตือนไทยอย่างชัดเจนว่า รากฐานด้านหลักนิติธรรมที่อ่อนแอกำลังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ และอาจกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อเป้าหมายการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย
คำเตือนครั้งนี้ไม่ใช่แค่ข้อสังเกตเชิงทฤษฎี แต่มาพร้อมข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ชี้ชัดว่า หลักนิติธรรมที่อ่อนแอไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางกฎหมายหรือปัญหานามธรรม แต่กลายเป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้จริง และกำลังฉุดรั้งศักยภาพการพัฒนาของประเทศอย่างต่อเนื่อง
ความยุติธรรมคือปัญหาเศรษฐกิจโดยตรง
ดร.ทาเทียนา เทปโลวา หัวหน้าที่ปรึกษาอาวุโสด้านความยุติธรรมจาก OECD ได้ทลายภาพจำเดิมๆ ที่มองว่าความยุติธรรมเป็นเพียงเรื่องของสังคมและกฎหมาย โดยกล่าวตรงๆ ว่า
“ความยุติธรรมไม่ใช่แค่ปัญหาสังคม แต่คือปัญหาของการเติบโตและเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจโดยตรง… ประเทศที่มีระบบยุติธรรมที่คาดเดาได้และมีประสิทธิภาพจะดึงดูดนักลงทุนได้มากกว่าเสมอ”
ดร.เทปโลวา เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ข้อพิพาททางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไข สามารถสร้างความเสียหายให้ประเทศได้สูงถึง 3% ของ GDP ถ้าคำนวณจากขนาดเศรษฐกิจของไทย หมายถึงเงินหลายแสนล้านบาทที่หายไปในแต่ละปี
ความเสียหายนี้ไม่ได้มาจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสที่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SME ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของเศรษฐกิจ ต้องแบกรับจากการที่กติกาไม่ชัดเจน และการบังคับใช้สัญญาทำได้อย่างอ่อนแอและล่าช้า
ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ หลักนิติธรรมคือปัจจัยพื้นฐานที่สุดในการตัดสินใจลงทุน เพราะพวกเขาต้องการความแน่นอนและความเชื่อมั่นในระบบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จากระบบที่ยุติธรรมเท่านั้น การที่ไทยตั้งเป้าหมายเข้าเป็นสมาชิก OECD การปฏิรูปหลักนิติธรรมจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นเงื่อนไขบังคับที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
เวที Rule of Law Forum: จุดนัดพบของคำเตือน
ข้อมูลและคำเตือนเหล่านี้ถูกนำเสนอในงาน Rule of Law Forum ครั้งที่ 3 ภายใต้หัวข้อ ‘การฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรมเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Institutional Readiness for Thailand’s Competitiveness)’ เวทีจัดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 ณ อาคารสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) โดยความร่วมมือระหว่าง TIJ เครือข่ายผู้บริหารด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนา (RoLD) The World Justice Project (WJP) และสำนักข่าว THE STANDARD
การรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญจากหลายองค์กรระดับโลกในครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเสวนาทั่วไป แต่เป็นการส่งสัญญาณร่วมกันว่าปัญหาหลักนิติธรรมของไทยต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
WJP ส่องกระจก: ไทยอยู่ตรงไหนในภาวะถดถอยของหลักนิติธรรมโลก
มร.มาร์ค ลูอิส ผู้แทนจาก The World Justice Project (WJP) องค์กรผู้จัดทำดัชนีชี้วัดหลักนิติธรรมที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก ฉายภาพให้เห็นบริบทที่กว้างขึ้นว่า โลกกำลังเผชิญกับ ‘ภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม’ (Rule of Law Recession) มาหลายปีแล้ว
ซึ่งหมายความว่าการแข่งขันระหว่างประเทศเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดการลงทุนกำลังทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม ประเทศที่ไม่ปรับตัวหรือปล่อยให้หลักนิติธรรมอ่อนแอลงจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังอย่างรวดเร็ว
ดัชนี Rule of Law Index ที่ WJP จัดทำขึ้นไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในรายงาน แต่เป็นกระจกสะท้อนความจริงของประเทศ WJP อธิบายความเชื่อมโยงที่แยกไม่ออกระหว่างหลักนิติธรรมกับเศรษฐกิจว่า
“หลายคนอาจไม่ทันสังเกต แต่ช่องทางที่หลักนิติธรรมส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันนั้นชัดเจนมาก ตั้งแต่กระบวนการยุติธรรมทางแพ่งที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งทำให้การบังคับใช้สัญญาทำได้ยาก ไปจนถึงปัญหาคอร์รัปชันที่จำกัดการแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งหมดนี้คืออุปสรรคโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ”
การที่ดัชนีชี้ให้เห็นจุดอ่อนของไทยในมิติสำคัญอย่างการปราศจากคอร์รัปชันและประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎระเบียบ จึงเป็นการส่งสัญญาณโดยตรงว่ารากฐานของไทยกำลังมีปัญหาอย่างหนัก
ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ WJP ไม่ได้เพียงแต่วัดผล แต่กำลังชี้ให้เห็นถึงกลไกที่ความอ่อนแอของหลักนิติธรรมกำลังทำลายเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นระบบ
ไทย ‘ย่ำอยู่ที่เดิม’ 10 ปี ขณะที่โลกวิ่งหน้า
ดร.พิเศษ สอาดเย็น ผู้อำนวยการ TIJ นำเสนอข้อมูลสถานการณ์ของประเทศไทยที่น่ากังวลจาก WJP Rule of Law Index ปี 2024 ปัจจุบันประเทศไทยได้คะแนนเพียง 0.50 เต็ม 1 อยู่ในอันดับที่ 78 จาก 142 ประเทศ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งของโลกและภูมิภาค
ดร.พิเศษ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างตรงไปตรงมาและเจ็บปวดว่า “เรากำลังยืนอยู่บนสนามแข่งขันที่เอนเอียง ข้อมูลชี้ชัดว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาเรายังย่ำอยู่ที่เดิม ในขณะที่โลกวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การไม่พัฒนาขึ้นก็เท่ากับเรากำลังถอยหลัง”
คำว่า ‘สนามแข่งขันที่เอนเอียง’ ไม่ใช่แค่คำเปรียบเทียบ แต่เป็นภาพสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในไทยอย่างแท้จริง เมื่อกฎหมายขาดความชัดเจนและศักดิ์สิทธิ์ การบังคับใช้ไม่สม่ำเสมอและเลือกปฏิบัติ ระบบราชการขาดความโปร่งใสและความรับผิดชอบ
สิ่งเหล่านี้สร้างสภาวะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กและธุรกิจที่พยายามดำเนินไปตามกติกาต้องเสียเปรียบอยู่เสมอ การ ‘ย่ำอยู่ที่เดิม’ มานานนับทศวรรษไม่ใช่แค่การเสียเวลา แต่คือการสูญเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศอย่างมหาศาล และกำลังทำให้ไทยถูกประเทศเพื่อนบ้านและคู่แข่งแซงหน้าไปเรื่อยๆ
จุดอ่อนที่สุดที่ ดร.พิเศษ เน้นย้ำคือ การจำกัดอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไทยได้คะแนนน้อยที่สุด สะท้อนถึงปัญหาการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นรากเหง้าที่ทำให้ปัญหาอื่นๆ ทั้งคอร์รัปชันและความไม่เป็นธรรมยังคงดำรงอยู่และลุกลามต่อไป
ถึงเวลาเผชิญความจริงและลงมือปฏิรูป
ภาพรวมจากทั้ง 3 มุมมอง – OECD, WJP และ TIJ – ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงที่ชัดเจนและน่ากังวล ‘สนามที่เอนเอียง’ ที่ ดร.พิเศษ กล่าวถึงคือต้นเหตุที่นำไปสู่ ‘GDP 3% ที่สูญเสีย’ ที่ OECD เตือนไว้ และเป็นเหตุผลว่าทำไมอันดับ Rule of Law ของไทยจึงย่ำอยู่ที่เดิมมาตลอดทศวรรษ
เสียงเตือนจากทุกทิศทางดังขึ้นพร้อมกันแล้ว คำถามสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าปัญหาคืออะไร เพราะทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว แต่คำถามที่แท้จริงคือ ประเทศไทยจะพร้อมยอมรับความจริงและลงมือปรับปรุงระบบให้กลับมามีความเป็นธรรมหรือไม่
เพราะถ้ายังคงเพิกเฉยหรือปล่อยให้ปัญหาลุกลามต่อไป สิ่งที่เสี่ยงจะสูญเสียไปไม่ใช่แค่โอกาสในการเข้าเป็นสมาชิก OECD แต่คืออนาคตทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าตัวเลข GDP หลายเท่าตัว