วันนี้ (8 ตุลาคม) เวลา 09.30 น. ที่สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าร่วมงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ‘หลักนิติธรรม: วาระแห่งชาติเพื่อความสามารถในการแข่งขันของไทย’ ซึ่งจัดโดยสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เครือข่ายผู้บริหารด้านหลักนิติธรรมและการพัฒนา (Rule of Law and Development Management Network) ร่วมกับ World Justice Project และ THE STANDARD
ทั้งนี้ ภายในงานมี บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมถึงผู้แทนภาคเอกชนและภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เวทีนี้เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมของชาติ เพื่อร่วมกันมองอนาคตและขับเคลื่อนให้หลักนิติธรรมเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นพื้นฐานของความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้จริงในอนาคตอันใกล้
“ผมไม่ใช่นักกฎหมาย แต่เชื่อในเรื่อง Rule of Law หลายท่านที่เคยทำงานด้วยกันจะรู้ว่า หากมีคนอธิบายได้อย่างชัดเจนในเรื่องกฎหมาย ผมก็พร้อมจะเชื่อและยึดถือในสิ่งนั้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว
อนุทินกล่าวต่อว่า ตนถูกปลูกฝังให้ยึดมั่นในกฎหมายตั้งแต่เด็ก และถือแนวคิดนี้มาโดยตลอด เพราะเชื่อว่าความเคารพในกฎหมายเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในทุกด้าน ทั้งในช่วงที่ทำธุรกิจ และปัจจุบันที่รับใช้บ้านเมืองในฐานะนักการเมือง และนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การที่ตนมีพื้นฐานเป็นวิศวกร ทำให้เข้าใจความสำคัญของรากฐานที่มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารหรือการสร้างองค์กร “หลักความยุติธรรมก็เปรียบเสมือนเสาเข็มของทุกสังคม เพราะนอกจากเราต้องมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตแล้ว เรายังต้องมีกฎหมายที่เป็นที่พึ่ง และกฎหมายต้องอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกคน”
เขากล่าวว่า เมื่อไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา สิ่งที่ฝังใจคือคำว่า “Justice for All” ความยุติธรรมสำหรับทุกคน ไม่ใช่เฉพาะบางคน ตนอยากให้มีการบัญญัติคำนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ทุกคนอ่านแล้วเข้าใจ และเชื่อมั่นในกฎหมายได้จริง สิ่งที่บางคนกลัวว่ารัฐบาลนี้จะใช้อำนาจเพื่อเป็น Justice for Some จะไม่เกิดขึ้น ตนเองยืนยันว่ารัฐบาลที่ผมเป็นหัวหน้าจะปล่อยให้กลไกยุติธรรมดำเนินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น
มนุษย์ทุกคนต้องการความเป็นธรรม และเมื่อความเป็นธรรมไม่เกิดขึ้น จะนำไปสู่การจลาจล ดังนั้นหลักนิติธรรมจึงเป็นรากฐานของความสงบสุขในสังคม ไม่มีประเทศใดแข่งขันได้อย่างยั่งยืน หากขาดหลักนิติธรรมที่มั่นคง เพราะเศรษฐกิจที่แข็งแรงต้องอาศัยกฎหมายที่แน่นอนและคาดเดาได้ นักลงทุนต้องเชื่อมั่นว่ากฎหมายในประเทศจะถูกใช้เพื่อความเป็นธรรม
ดังนั้น สำหรับตนเองแล้ว หลักนิติธรรม ไม่ใช่เพียงเรื่องของกฎหมายเท่านั้น แต่คือ วัฒนธรรมแห่งความเป็นธรรม ที่ต้องปลูกฝังให้หยั่งรากลึกอยู่ในทุกสังคม เพื่อให้เรามีสังคมที่เป็นธรรม มีระบบที่ทุกคนเชื่อมั่นและยึดถือ และให้ผู้ที่ใช้กฎหมายนั้นยืนหยัดอยู่บนความถูกต้องทุกประการ
ขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์และยาเสพติดกำลังคุกคามประเทศ หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องรักษาและยึดหลักนิติธรรมอย่างเข้มแข็ง ต้องมีความกล้าหาญที่จะบังคับใช้กฎหมายโดยความถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ถูกครอบงำหรือชักจูงให้ใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งบุคคลใดที่คิดว่าเป็นปฏิปักษ์กับตนเอง เพราะไม่ใช่ยุติธรรมเพื่อทุกคน จึงต้องหาคำบัญชา เพราะใครก็ช่วยใครไม่ได้ และใครจะทำให้คนนั้นผิดก็ไม่ได้ ถ้าเขาถูก เมืองไทยต้องไม่มีสิ่งเหล่านี้
เราจะได้อาศัยอยู่ในประเทศที่มีหลักกฎหมายคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ คนจะทำดีจะได้ไม่ต้องเกรงกลัว สิ่งที่อันตรายคือคนเก่ง คนดีไม่กล้าทำสิ่งที่ดีเพื่อส่วนรวม เพราะเกรงกลัวกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมจะย้อนมาทำอันตรายตนเอง หากทำตนไม่ได้ ก็อาจไปทำคนใกล้ชิดเขา สิ่งเหล่านี้กำลังเกิดขึ้น ดังนั้นเรามีหน้าที่ที่จะต้องตัดให้สิ้นซาก
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในการแถลงนโยบายตนให้ความสำคัญเรื่องการรักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด เรื่องการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐในกรณีการใช้กฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือการละเว้นการบังคับใช้กฎหมายนั้นเป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงและต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ บทเรียนจากทั่วโลกชี้ตรงกันว่าหากหลักนิติธรรมหมดประเทศนั้นจะไม่สามารถรักษาความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้นักลงทุนหนีหาย ในอีกทางหนึ่งพูดได้ว่า “หลักนิติธรรม คือต้นทุนสำหรับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยในวันนี้ เรากำลังอยู่ในเส้นทางของการพยายามเข้าร่วมเป็นสมาชิก Organization for Economic Cooperation and Development (OECD) ซึ่งอย่างที่เราทราบกัน การจะเป็นประเทศสมาชิกใน OECD ได้ จะต้องมีความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ธรรมาภิบาล และหลักนิติธรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ต้องการให้ประเทศเราไปถึงจุดนั้น ตนเป็นประเภท ครม. สายมู เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ดูโหงวเฮ้ง ใครเป็นคนจริงใจ หรือตักตวงเอาเปรียบ ดูออกเองว่ามากกว่า 80% และดูไม่ค่อยพลาดที่พลาดแกล้งเซ่อ แต่ถ้าแกล้งเซ่อแต่ผลักดันประโยชน์อื่นๆ ของบ้านเมืองต่อไปได้เราก็ยอมที่จะแกล้งเซ่อ ฉะนั้นขอให้มั่นใจตนใช้ทุกองค์ประกอบ ในการเข้ามาบริหารบ้านเมือง
ส่วนการแก้ปัญหาคอร์รัปชันตนจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ทุกคนทราบดีคอร์รัปชันคือ ขัดขวางทุกอย่างคนที่ตั้งใจดี แต่มาเจอคอร์รัปชั่น บางทีท้อถอยก็มี เพราะดูไปแล้วมันจะลงไปยาก แต่เราต้องสู้ต้องไม่ยอมแพ้ ความถูกต้องต้องชนะเสมอ ต้องทะลวงสิ่งนี้ไปให้ได้รัฐบาลต้องทำทุกอย่างไม่ให้เกิดช่องโหว่ของกฎหมาย
“ถ้าพวกผมผิดตอนเป็นฝ่ายค้านก็ต้องผิดมาเป็นรัฐบาลก็ต้องผิด ต้องดำเนินคดีให้ได้ ไม่ใช่พอมาอยู่ตรงนี้ช้าลง ขออย่าช้าใครทำช้า ผมเอาเรื่องหนักยิ่งกว่าอีก เพราะ ผม ทนไม่ได้ กับกระบวนการยุติธรรม ที่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อย่างนั้นมันยิ่งกว่าเผด็จการ ชี้เป็นชี้ตายคนได้ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องไม่เหลืออะไร เพราะคนที่มีอำนาจสูงสุด ประชาชนเลือกมาจะมา ชี้เป็นชี้ตายและชี้อนาคตทิศทางประเทศไม่ได้เด็ดขาดสิ่งเหล่านี้ ตนจะไม่มีวันยอมให้เกิด”
ส่วนเรื่องความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของสังคมรัฐบาลจะยกระดับ Open Government ใช้เทคโนโลยีต่างๆที่มี AI ดิจิทัลให้ประชาชนเข้าถึงได้จริง สามารถติดตามตรวจสอบและสะท้อนความคิดให้รัฐ โดยรัฐจะมีองค์กรรับฟังสิ่งเหล่านี้สะท้อนผ่านสมาคมสภาของท่านทั้งหลายร่วมมือกันเป็นหนึ่ง เพราะท่านคือตัวแทน ของประชาชนเหมือนกัน เป้าหมายของเราคือต้องสร้างระบบนิเวศของความโปร่งใส ทุกการดำเนินการของรัฐต้องตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน
ทั้งนี้ ตนในฐานะนายกฯ ทราบดีว่าการฟื้นฟูโครงสร้างเชิงระบบและหลักนิติธรรม ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องใช้เวลาต้องอาศัยความต่อเนื่อง แต่อยู่ที่รัฐบาลอย่างเดียวไม่ได้พวกท่านต้องช่วยกันให้ความร่วมมือ ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ ใน 4 เดือนของรัฐบาลชุดนี้ จะไม่เป็น 4 เดือนที่สูญเปล่า แต่จะเป็น 4 เดือนที่พวกตนตอกเสาเข็มวางฐานราก และสร้างโรดแมป ให้รัฐบาลหน้าซึ่งจะต้องถูกกรอบของระบบที่พวกท่านได้วางไว้ สร้างไว้จะบังคับให้รัฐบาลใดๆก็ตามได้เดินต่อไป เพื่อทำให้ประเทศไทยของเรามีรากฐานที่มั่นคง และสามารถไปแข่งขัน ได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก