วันนี้ (6 ตุลาคม) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน สส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค และ ชลธิชา แจ้งเร็ว สส. ปทุมธานี ร่วมงานรำลึก 6 ตุลาคม 49
ณัฐพงษ์เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งต่างฝากความหวังไว้กับพรรคประชาชนทำการเมืองอย่างมีความหวังให้กับประชาชน และยืนยันในสิ่งที่เรียกร้องมาโดยตลอด คือ ประชาธิปไตย ซึ่งมีเสียงสะท้อนบางส่วนที่ระบุว่ารู้สึกผิดหวังกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ได้ตัดสินใจไป เพื่อต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ระบบการปกครองในประเทศนี้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเดินหน้าปฏิรูปกองทัพและหยุดยั้งวงจรรัฐประหาร ไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าประชาชนเหมือนที่ผ่านมา
ขณะที่ การเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคประชาชน ณัฐพงษ์ระบุ ต้องทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชนอย่างรอบด้าน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เนื่องจากมีรายละเอียดค่อนข้างมาก ทั้งที่มาของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญ และสิ่งที่มองไปไกลกว่านั้น คือ เนื้อหาภายในรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขการจัดตำแหน่งแห่งที่ขององค์กรอิสระต่างๆ เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นอาวุธทำลายการเมือง และให้เกิดการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชันอย่างแท้จริง
ส่วนกังวลหรือไม่ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถูกเบรกโดยสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ณัฐพงษ์ยอมรับว่า มีการประเมินไว้อยู่แล้ว แต่ก็เชื่อว่าเป็นหน้าที่ของทุกพรรคและตัวนายกรัฐมนตรีที่จะต้องส่งเสียงเรียกไปยังสว. และสิ่งที่ประชาชนได้สะท้อนออกมาเชื่อว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา มีการส่งเสียงว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นสิ่งสำคัญ และไม่น่าจะมีเหตุผลที่ใครจะมาขัดขวางกระบวนการตรงนี้
เรียกร้องรัฐบาลทบทวนประชามติยกเลิก MOU43-44
ณัฐพงษ์กล่าวถึงกรณีรัฐบาลให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเรื่อง MOU 43 และ MOU 44 ว่า ผลสำรวจของนิด้าโพลที่สำรวจเรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าประชาชนราว 70% มีความไม่เข้าใจ เกี่ยวกับเนื้อหารายละเอียดของ MOU เชื่อว่า สิ่งที่จะทำให้ประชามติเป็นกระบวนการสะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริงๆ คือออกไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงโดยมีความรู้ความเข้าใจ
ทั้งนี้ MOU เป็นเรื่องที่มีความละเอียด ซับซ้อนที่ตนไม่เชื่อว่าจะสามารถจัดเวทีสาธารณะให้ความรู้แก่ประชาชนได้อย่างรอบด้าน เพราะในการประชุมกันในรัฐสภายังขอประชุมลับ บางอย่างหากพูดออกไปอาจทำให้ประชาชนเสียเปรียบ และสังคมมีทั้งคนเห็นด้วยและเห็นต่าง เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน
ไม่ควรโยนภาระให้ประชาชน
ณัฐพงษ์กล่าวว่า พรรคประชาชนได้เสนอให้รัฐบาลทบทวนมาโดยตลอด และเชื่อว่าอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย น่าจะทราบจากนักวิชาการและเสียงสะท้อนจากสังคมด้วย บางส่วนก็ไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องนี้มาทำประชามติ เพราะควรเป็นหน้าที่ฝ่ายบริหาร
“รัฐบาลไม่ควรโยนการตัดสินใจนี้ให้เป็นภาระของประชาชน จริงๆ เป็นหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยตรง ที่ประชาชนมอบความไว้วางใจไปในการตัดสินใจเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ในเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน เรื่องความมั่นคงแบบนี้ รัฐบาลจะทำอย่างไร ก็แสดงความรับผิดรับชอบ ตัดสินและทำเองได้เลย” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์กล่าวอีกว่า การทำประชามติ MOU อาจเพิ่มภาระประชาชนในการออกเสียง ที่ต้องทำความเข้าใจ รวมถึงตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะเป็นข้อเสนอที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือไม่ ทั้งที่อนุทินก็รู้ดีว่าอีก 4 เดือน ต้องยุบสภา มุ่งหน้าสู่การเลือกตั้ง
ณัฐพงษ์กล่าวอีกว่า ก่อนที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีมติไปถึงการทำประชามติ เราคงส่งเสียงเรียกร้องว่าเราไม่เห็นด้วย แต่ถ้ามีการจัดทำประชามติผลออกมาอย่างไร พรรคประชาชนก็พร้อมเคารพในการที่เสียงประชาชนเป็นใหญ่ พร้อมยกคำพูดว่า “ถ้าเราบอกว่าจะสร้างจรวดไปดวงจันทร์ เราคงไม่สามารถสร้างได้โดยการยกมือโหวตทุกคน สุดท้ายต้องอาศัยนักวิทยาศาสตร์มาคิดวิเคราะห์เรื่องหลักการและเหตุผล”
เช่นเดียวกับเรื่องนี้ มีรายละเอียดเชิงเทคนิคจำนวนมาก สิ่งที่จะทำให้แก้ปัญหา ไทย-กัมพูชา ได้สำเร็จอาจไม่ใช่การให้ประชาชนตัดสินใจ โดยไม่มีความรู้ทางเทคนิคที่สมบูรณ์เท่านักการทูต หน่วยงานความมั่นคง หรือฝ่ายบริหาร ตนคาดหวังว่ารัฐบาลควรจะออกแบบกระบวนการดีๆ และเลือกใช้กระบวนการที่ถูกต้องในการตัดสินใจเรื่องละเอียดอ่อน