×

ทำไมสีจิ้นผิงมี Mindset และวิธีเดินเกมที่แตกต่างกับทรัมป์

02.10.2025
  • LOADING...

หลายครั้งที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนมีการเดินเกมเชิงกลยุทธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ตัวอย่างล่าสุดในเรื่องวีซ่าสำหรับ Talent ที่เริ่มมีผลวันที่ 1 ตุลาคมนี้ ฝ่ายรัฐบาลทรัมป์ประกาศเพิ่มค่าธรรมเนียมยื่นขอวีซ่าทำงานของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่มีความสามารถพิเศษหรือ ‘วีซ่า H-1B’ สูงถึง 1 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 3.2 ล้านบาท) จึงเป็นเสมือนการสร้างกำแพงปิดกั้น Talent ต่างชาติด้วยการตั้งเงื่อนไขให้ต้องจ่ายแพงขึ้นหลายเท่าตัว  

 

ในขณะที่รัฐบาลจีนกลับเลือกใช้กลยุทธ์ในลักษณะตรงข้าม ด้วยการประกาศ ‘วีซ่า K’ ที่ออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายเงื่อนไขสำหรับ Talent ต่างชาติ เปรียบเสมือนการเปิดประตูที่กว้างขึ้น เพื่อเชื้อเชิญ Talent โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจากทั่วโลกให้มาทำงานบนแผ่นดินจีนได้สะดวกขึ้น  

 

บทความนี้จะวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบว่า ทำไมสีจิ้นผิงมักจะเลือกทำในสิ่งที่ทรัมป์ไม่ทำ โดยใช้กรณีศึกษาในเรื่องวีซ่าสำหรับ Talent ของสองประเทศที่มีแนวทางแตกต่างกัน ดังนี้

 

ประการแรก ผู้นำมี Mindset ที่แตกต่างกัน

 

รัฐบาลสหรัฐฯ พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อ discourage บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่ต้องการเข้าไปทำงานในสหรัฐฯ ตามแนวคิดทรัมป์ที่หมกมุ่นในเรื่องการสร้างงานให้คนอเมริกัน จึงสนใจแต่เพียงแค่ว่า จะทำอย่างไรที่จะเก็บงานไว้ให้คนอเมริกันได้มีงานทำมากขึ้น สะท้อน Mindset ของทรัมป์ในลักษณะชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (Economic Nationalism) ทั้งๆ ที่มีคนชาติอื่นที่เก่งกว่า/สมาร์ทกว่า เช่น ผู้เชี่ยวชาญชาวอินเดียที่สนใจไปทำงานในสหรัฐฯ แต่ทรัมป์จะเรียกเก็บค่าวีซ่ามหาโหดกับ Talent ต่างชาติเหล่านั้นสูงถึง 1 แสนดอลลาร์ (ในอดีตที่ผ่านมา ชาวต่างชาติที่ได้รับวีซ่า H-1B จากสหรัฐฯ มากที่สุด คือ อินเดีย คิดเป็น 71% ของผู้ได้รับอนุมัติ ส่วนใหญ่ทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์) 

 

ในทางกลับกัน ผู้นำจีนมองเห็นโอกาสจาก Talent คนเก่งชาวต่างชาติ จึงต้องการเชื้อเชิญคนที่มีพรสวรรค์/ดึงมันสมองจากทั่วโลกให้เข้ามาทำงานในจีนมากขึ้น รัฐบาลจีนจึงเลือกเดินเกมที่แตกต่างกับสหรัฐฯ เน้นการผ่อนคลายเงื่อนไขในการยื่นขอวีซ่า K เพื่อจูงใจ Talent ต่างชาติเหล่านั้น 

 

แล้วทำไมเบ้าหลอมทางความคิดหรือ Mindset ของผู้นำจีนจึงค่อนข้างแตกต่างจาก Mindset ของผู้นำสหรัฐฯ ล่าสุด หนังสือที่ถูกพูดกันมากในช่วงนี้ ชื่อ Breakneck: China’s Quest to Engineer the Future เขียนโดย Dan Wang มีการวิเคราะห์พื้นฐานแนวความคิดของผู้นำสองชาติมหาอำนาจนี้ 

 

Breakneck: China's Quest to Engineer the Future

ภาพประกอบ: ปกหนังสือ Breakneck: China’s Quest to Engineer the Future

 

ที่สำคัญ พื้นฐานการศึกษามีส่วนในการหล่อหลอมความคิดของผู้บริหารประเทศ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้นำจีนส่วนใหญ่จะเรียนจบด้านวิศวกรรม (เช่น สีจิ้นผิง เรียนจบวิศวเคมีจากมหาวิทยาลัยชิงหวา) ในขณะที่ผู้บริหารสหรัฐฯ มักจะเรียนจบด้านกฎหมายหรือด้านเศรษฐศาสตร์/บริหารธุรกิจ (เช่น ทรัมป์เรียนจบ Wharton School) ทำให้ผู้นำของสองชาตินี้มองอนาคตด้วย Mindset หรือชุดความเชื่อที่ฝังลึกภายในที่แตกต่างกัน ในหลายครั้ง จึงเลือกการเดินเกมในลักษณะแตกต่างกัน 

 

ในกรณีวีซ่า Talent ด้วยมุมมองของทรัมป์แบบ Inward-Looking และมีทัศนคติค่อนข้างลบกับชาวต่างชาติที่ทำงานในสหรัฐฯ ทรัมป์จึงมองเห็นแต่มุม ‘ปัญหา’ Talent ต่างชาติจะมาแย่งงานคนอเมริกัน จึงพยายามสร้างเงื่อนไขหรือลดทอนแรงจูงใจ เช่น การขึ้นกำแพงวีซ่าเรียกเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B ที่แพงลิ่ว และกรอบคิดแบบนักธุรกิจของทรัมป์ที่สนใจแต่ตัวเลขเงินๆ ทองๆ ย่อมต้องการใช้มาตรการเพิ่มค่าธรรมเนียมวีซ่าที่สูงลิ่วนี้ เพื่อเป็นอีกช่องทางในการเพิ่มรายได้เข้าคลังของรัฐบาลทรัมป์อีกด้วย 

 

ในขณะที่ ทางฝั่งจีน สีจิ้นผิงมองเห็น ‘โอกาส’ จาก Talent ต่างชาติ จึงเน้นจูงใจผู้เชี่ยวชาญเก่งๆ จากทั่วโลก (โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี) ให้มาทำงานในจีนให้มากขึ้น เพื่อต่อยอดสร้าง Ecosystem ให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างความตื่นตัวให้คนรุ่นใหม่ของจีน ทางการจีน จึงประกาศออกวีซ่า K ที่มีลักษณะผ่อนคลายในหลายด้าน เพื่อดึงดูด Talent ต่างชาติจากทุกมุมโลก 

 

นอกจากนี้ การเดินเกมผ่อนคลายวีซ่า K ของรัฐบาลจีน เพื่อสร้าง Talent Pool หรือแหล่งรวมความสามารถด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีความสอดคล้องกับเป้าหมายของจีนที่จะเป็นชาติมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีในระดับโลก ตามวิสัยทัศน์ของผู้นำจีนและทีมผู้บริหารประเทศจีนที่ส่วนใหญ่เรียนจบสายวิศวกรรม ไม่ใช่สายกฎหมายหรือเศรษฐกิจแบบผู้นำสหรัฐฯ  

 

สื่อจีนอย่าง Global Times เผยแพร่บทวิเคราะห์ว่า “วีซ่า K ที่จีนเพิ่งประกาศใหม่นี้ สะท้อนความเปิดกว้างและความมั่นใจของจีนในการร่วมมือกับโลก” นั่นคือ สีจิ้นผิงมองเห็นโอกาสของคนจีนในการทำงานกับ Talent จากทั่วโลก ในขณะที่ ทรัมป์มองเห็นแต่ในมุมปัญหา จึงเลือกที่จะปิดกั้นตัวเอง

 

ประการที่สอง  ผู้นำเลือกใช้วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือ (MEANS) ที่แตกต่างกัน

 

ตั้งแต่ปลายปี 2012 ที่สีจิ้นผิงขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็ได้ประกาศความฝันของจีนในการ ‘ฟื้นฟูชาติ’ ให้จีนกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (The Great Rejuvenation of the Chinese Nation) ในแง่เป้าหมาย (ENDS) แม้จะดูไม่แตกต่างจากนโยบาย Make America Great Again ของทรัมป์ หากแต่ในแง่วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือที่ใช้ (MEANS) ในการบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ผู้นำของสองชาตินี้มีการเดินเกมในลักษณะที่แตกต่างกัน ดังตัวอย่างกรณีวีซ่า Talent ผู้นำจีนเดินเกมคนละแนวกับผู้นำสหรัฐฯ 

 

ทรัมป์ไม่เห็นความสำคัญของ Talent จากต่างประเทศ จึงเรียกเก็บค่าวีซ่า H-1B เพิ่มสูงขึ้นถึง 1 แสนดอลลาร์ รวมทั้งมีเงื่อนไขว่า ในการยื่นขอวีซ่า H-1B นอกจากจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Specialty Occupations) เช่น วิศวกรรม, เทคโนโลยีสารสนเทศ, การเงิน, และการแพทย์ ยังจำเป็นจะต้องมีบริษัทนายจ้างในสหรัฐฯ ที่ชัดเจน และกำหนดให้บริษัทนายจ้างเป็นผู้ยื่นคำร้องขอวีซ่านี้ 

 

ในขณะที่ รัฐบาลจีนทำในสิ่งตรงกันข้ามกับสหรัฐฯ จุดเด่นในการขอวีซ่า K จากจีน คือ ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องมีนายจ้างในจีน ทำให้ขอวีซ่าง่ายขึ้น ไม่ต้องไปเสียเวลาขอให้นายจ้างออกหนังสือเชิญ (invitation) เพื่อใช้ประกอบการออกวีซ่า  

 

ในเชิงเปรียบเทียบ วีซ่า H-1B ของสหรัฐฯ เน้น“ควบคุม”และผูกติดกับบริษัทนายจ้างที่ออกหนังสือเชิญ จะออกวีซ่าให้เฉพาะกรณีที่มีบริษัทนายจ้างแล้ว และมีโควตาจำกัดในแต่ละปี  ในขณะที่ วีซ่า K ของจีนถูกออกแบบใหม่ให้มีความ “ยืดหยุ่น” ไม่จำเป็นต้องมีบริษัทนายจ้างล่วงหน้า เพื่อดึงดูดนักวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีรุ่นใหม่จากทั่วโลกให้เข้ามาในจีนได้เลย จึงค่อนข้างเหมาะกับนักวิจัย/คนรุ่นใหม่ที่อยากลองแสวงหาโอกาสในจีน 

 

โดยสรุป สีจิ้นผิงมีเป้าหมายใหญ่ (ENDS) ที่จะสร้างจีนให้เป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก  จึงเลือกใช้วิธีการ (WAYS) และเครื่องมือ (MEANS) ที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายใหญ่นี้ ดังตัวอย่างกรณีวีซ่า Talent ที่ถูกออกแบบให้เป็น“เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์”เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจีนจึงเน้นผ่อนคลายการยื่นขอวีซ่า K เพื่อจูงใจ Talent จากทั่วโลก โดยเฉพาะคนเก่งๆ ในด้าน STEM (Science, Technology, Engineering และ Mathematics) และสร้างภาพลักษณ์ให้ทั่วโลกเห็นว่า จีน“เปิดกว้าง”ให้กับ Talent จากทุกมุมโลก

 

วิธีเดินเกมเชิงกลยุทธ์ของของสีจิ้นผิงจึงแตกต่างกับแนวทางของทรัมป์  จีนเน้นดึงดูดคนเก่งระดับโลกเข้ามาก่อน เพื่อสร้าง Talent Pool หรือแหล่งรวมคนเก่งๆ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และสร้าง ‘โอกาส’ ให้กับคนรุ่นใหม่ในประเทศจีนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จาก Talent ต่างชาติเหล่านั้น เพื่อใช้เป็นแรงกระตุ้น/สร้างความตื่นตัวให้เกิดการพัฒนาทักษะเป็น Talent คนเก่งๆ ของจีนเองให้มากขึ้นต่อไป  

 

ทั้งนี้ ความพยายามของรัฐบาลจีนในเรื่องนี้จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน จะมี Talent ต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาทำงานในจีนมากขึ้นอย่างที่คาดหวังหรือไม่ ยังต้องจับตาดูกันต่อไป

 

ภาพ: REUTERS / Florence Lo / Ken Cedeno / Domenico Fornas via ShutterStock

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising