เชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันพุธ (24 กันยายน) ที่ผ่านมา ณ ที่ทำการคณะผู้แทนถาวรฯ ในห้วงสัปดาห์ผู้นำของการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 (UNGA80) สะท้อนบทบาทของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ยืนยันว่า การประชุมสมัชชาสหประชาชาติครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งต่อไทย ทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และยุทธศาสตร์ เนื่องจากปีหน้าจะครบรอบ 80 ปีที่ไทยเข้าเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ พร้อมทั้งย้ำถึงความจำเป็นที่ไทยต้องแสดงบทบาทเชิงรุกมากขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในระบบพหุภาคีระหว่างประเทศ
เขาอธิบายว่า การประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 80 เกิดขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และมี 4 ประเด็นสำคัญที่กระทบต่อการทำงานของ สหประชาชาติอย่างลึกซึ้ง ได้แก่
- ความแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นความแตกแยกทางการเมืองระหว่างฝ่ายซ้าย-ขวา หรือ การแบ่งขั้วระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนประชาธิปไตยกับกลุ่มที่ไม่สนับสนุน ทำให้เกิดแรงเสียดทานต่อกลไกการทำงานของสหประชาชาติโดยตรง
- ความผันผวน โดยเฉพาะบทบาทของสหรัฐฯ ในรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลต่อท่าทีและนโยบายต่อสหประชาชาติอย่างชัดเจนนำมาสู้การตั้งคำถามถึงความจำเป็นขององค์กรแห่งนี้
- ความขัดแย้ง ทั้งกรณีสงครามยูเครนและสงครามในกาซา ที่เกิดการโจมตีรุนแรง กระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำให้เกิดคำถามถึงบทบาทของสหประชาชาติในการขจัดภัยความขัดแย้ง
- ทรัพยากรการเงิน ภารกิจของสหประชาชาติเพิ่มขึ้น แต่ทรัพยากรการเงินลดลง หลายประเทศไม่จ่ายเงินสนับสนุน ส่งผลให้สหประชาชาติ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจภาคสนามได้เต็มที่
บทบาทเชิงรุกของไทยในเวทีโลก
ขณะที่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ กล่าวถึงบทบาทเชิงรุกของไทยในเวทีโลกว่า ไทยต้อง “กล้าที่จะพูด” อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้
- ยืนหยัดในพหุภาคีนิยม ไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกชาติแรกของสหประชาชาติ และเข้าร่วมด้วยความเชื่อว่าระบบพหุภาคีนิยมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างเสถียรภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจาก “ประชาธิปไตย” และ “พหุภาคีนิยม” เป็นของคู่กัน
- ประโยชน์ต่อสหประชาชาติ ไทยไม่เคยเป็นภาระขององค์กร แต่กลับเป็นพลังที่สนับสนุนทั้งในด้านการพัฒนา ภารกิจรักษาสันติภาพ การฝึกอบรม การให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม
- กล้าพูดในสิ่งที่ไม่เห็นด้วย เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การโจมตีพลเรือน ไทยในฐานะสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนจึงมีความชอบธรรมในการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน
- ช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพ ผ่านการเสนอแนวทางปรับโครงสร้าง การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเสนอให้ใช้ประสบการณ์ของไทยในการบริหารจัดการวิกฤตระดับภูมิภาค
ไทยกับปัญหาภูมิภาค: กัมพูชาและเมียนมา
อีกประเด็นที่เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ ให้ความเห็นคือปัญหาในภูมิภาค โดยเฉพาะบริเวณพรมแดนด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของไทย
กรณีกัมพูชา ไทยยืนยันใช้ช่องทางทวิภาคีในการแก้ไขข้อขัดแย้งอย่างสันติ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีความจำเป็นต้องอธิบายข้อเท็จจริงในเวทีโลก เพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจบริบทและข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง ไม่ตกเป็นฝ่ายรับเพียงอย่างเดียว
ส่วนกรณีเมียนมา วิกฤติในเมียนมา ทั้งด้านการเมืองและความขัดแย้งชาติพันธุ์ เป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อไทยโดยตรง โดยเฉพาะในด้านมนุษยธรรม
ซึ่งเขาย้ำว่าการสื่อสารประเด็นเหล่านี้ต่อผู้บริหารสูงสุดของสหประชาชาติถือเป็นโอกาสสำคัญอย่างมาก
โอกาสของไทยบนเวทีโลก
เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ มองว่าไทยไม่เคยหายไปจากเวทีโลก แต่ไทยจำเป็นต้องดำเนินนโยบายอย่างมีคุณภาพเพียงพอในการใช้เวทีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่ “นักการทูต” ไม่ได้เป็นเพียง “คนขายของ” แต่เป็นการนำของดีของประเทศไปต่อยอดบนเวทีโลก อย่างไรก็ตามแนวทางดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ไทยต้องสร้างคุณภาพจากภายในก่อน ทั้งในเรื่องการศึกษา ระบบสาธารณสุข การบริหารจัดการ และการมีส่วนร่วมของประชาชน
นอกจากนี้สิ่งที่ไทยจะได้จากการประชุมสมัชชาสหประชาชาติคือการเปิดโอกาสให้ชี้แจงข้อเท็จจริงในประเด็นปัญหาความขัดแย้งต่อผู้บริหารระดับสูงของสหประชาชาติโดยตรงอีกด้วย
สำหรับประเด็นที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการปฏิรูปสหประชาชาตินั้นเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ อธิบายว่ายังคงต้องใช้เวลา โดยความท้าทายในการปฏิรูปสหประชาชาติที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างกฎระเบียบให้รัฐปฏิสัมพันธ์กันคือการบริหารจัดการกับพฤติกรรมของมนุษย์ ทำให้การปฏิรูปสหประชาชาติไม่มีทางสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ดี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรฯ สนับสนุนการมีแผนปฏิบัติงานอย่างเร่งรัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์รวดเร็ว (Quick Wins) ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาวในการปฏิรูป เช่น การรัดเข็มขัด และการควบรวมหน่วยงานเพื่อดูแลภารกิจต่าง ๆ เป็นต้น ดังนั้นการประสานงานร่วมกันจะช่วยถอดรหัสแผนปฏิบัติงานดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น