×

เปิดคำสั่งศาลฎีกาฯ ชี้บังคับโทษ ‘ทักษิณ’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปี

โดย THE STANDARD TEAM
09.09.2025
  • LOADING...
ศาลฎีกา ทักษิณ

วันนี้ (9 กันยายน) เวลา 10.00 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค1/2568 เพื่อพิจารณาว่า การบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นไปตามหมายจำคุกในคดีถึงที่สุด ได้แก่ คดีหมายเลขแดงที่ อม 4/2551, อม 5/2551 และ อม 10/2552 ของศาลฎีกาฯ หรือไม่

 

โดยศาลได้ให้โจทก์ จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ยื่นคำชี้แจงข้อเท็จจริงพร้อมเอกสารประกอบ และมีการไต่สวนพยานรวมทั้งสิ้น 31 ปาก

 

ศาลยืนยันมีอำนาจไต่สวน

ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัย คือ ศาลมีอำนาจไต่สวนหรือไม่

 

ศาลเห็นว่า การตรวจสอบว่าการบังคับโทษเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ มีบทบัญญัติรับรองไว้ตามข้อกำหนดว่าด้วยการดำเนินคดีของศาลฎีกาฯ พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะมีอำนาจตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 

 

แต่การส่งผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขทางกฎหมาย ไม่ใช่ว่าเมื่อใช้อำนาจตามกฎหมายแล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของศาล

 

ดังนั้น หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุก ศาลฎีกาฯ ย่อมมีอำนาจตรวจสอบว่า การส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำและการอนุญาตให้รักษาต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

 

ไม่ใช่การพิจารณาซ้ำ

ประเด็นต่อมา คือ การไต่สวนครั้งนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลที่เคยยกคำร้องเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2566 และ 15 กุมภาพันธ์ 2567 หรือไม่

 

ศาลวินิจฉัยว่า ที่มาของประเด็นในครั้งก่อนเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 แต่ประเด็นในครั้งนี้ คือ การตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และไม่ได้อาศัยคำร้องเดิมของนายชาญชัย การไต่สวนครั้งนี้จึงไม่ถือเป็นการพิจารณาซ้ำ

 

ประเด็นหลัก: การบังคับโทษและการรักษาตัว

เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 หลังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ รับตัวจำเลยตามหมายจำคุก ได้ส่งไปคุมขังที่ห้องกักโรคแดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาล โดยมีแพทย์ราชทัณฑ์ตรวจร่างกาย พบว่า จำเลยมีโรคประจำตัว 10 โรค อาการส่วนใหญ่คงที่ ยกเว้น 3 โรคที่ควรตรวจเพิ่มเติมคือ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง แต่ทั้งหมดอยู่ในภาวะที่ไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน

 

อย่างไรก็ตาม คืนเดียวกัน เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย แขนขาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก และความดันโลหิตสูง (178/98 มม.ปรอท) อัตราหัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92% พยาบาลเวรจึงทำบันทึกเสนอส่งตัวออกไปรักษานอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาต และเรือนจำส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลตำรวจ

 

แต่ข้อเท็จจริงพบว่า การส่งดังกล่าวไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา 55 และกฎกระทรวง เนื่องจากต้องตรวจและส่งผ่านทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน ทั้งที่อยู่ห่างเพียง 200 เมตร อีกทั้งเมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ ก็ถูกนำเข้าห้องพักพิเศษชั้น 14 ไม่ใช่ห้องฉุกเฉิน ขัดต่อระเบียบโรงพยาบาลตำรวจที่กำหนดให้ผู้ต้องขังเข้ารับการรักษาฉุกเฉินที่ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าในคืนดังกล่าวไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และไม่ได้ตามแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจมาตรวจทันที เพิ่งตรวจในวันถัดไป

 

ความเห็นผู้เชี่ยวชาญและข้อเท็จจริงการรักษา

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา และ ศ.นพ.ไขยรัตน์ ตรวจเวชระเบียนแล้วเห็นว่า อาการไม่ได้ฉุกเฉิน

 

นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข อดีต ผอ.ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ยืนยันว่า โรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือและยาที่เพียงพอรักษาอาการในคืนนั้น

 

อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2566 เป็นต้นไป สามารถกลับไปรักษาที่เรือนจำหรือทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้

 

แต่กลับปรากฏว่า การรักษาในโรงพยาบาลตำรวจยืดเยื้อไปจนถึง 18 กุมภาพันธ์ 2567 โดยใช้ใบรับรองแพทย์อ้างว่า จำเลยต้องรักษาโรคเร่งด่วน เช่น สมองขาดเลือด ผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ทั้งที่ข้อเท็จจริงพบว่าเป็นเพียงการผ่าตัดเล็ก เช่น นิ้วล็อก เอ็นหัวไหล่ ซึ่งเกิดขึ้นภายหลัง ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ต้องส่งตัวไปรักษาตั้งแต่แรก

 

ศาลจึงสรุปว่า การส่งตัวและการรักษานอกเรือนจำเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยเองมีส่วนร่วมตัดสินใจเลือกแนวทางรักษาที่ทำให้ระยะเวลาการพักรักษายืดออกไป

 

ผลตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566 จำเลยได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่ศาลวินิจฉัยว่า ระยะเวลาที่พักรักษาในโรงพยาบาลตำรวจไม่อาจนับเป็นวันคุมขังได้ เพราะการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมาย

 

ดังนั้น จำเลยยังต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปีเต็ม ตามพระบรมราชโองการ

 

ศาลฎีกาฯ ชี้ชัดว่า การบังคับโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เป็นไปตามกฎหมาย การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ระยะเวลาดังกล่าวไม่สามารถนำมาหักวันคุมขังได้ ส่งผลให้ต้องรับโทษจำคุกต่ออีก 1 ปีเต็ม

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising