วันนี้ (28 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งกระทู้ถามกรณีการใช้ตั๋ว P/N ของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งได้มอบหมาย จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ตอบ
วิโรจน์ระบุว่า กรณีนายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าได้ซื้อหุ้นจาก แม่ พี่ชาย พี่สาว ลุง และป้าสะใภ้ เป็นเงิน 4,434.5 ล้านบาท โดยชำระเงินด้วยตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตั๋ว P/N ที่ไม่มีกำหนดการชำระเงินและไม่มีดอกเบี้ย ซึ่งตั๋ว P/N ของนายกรัฐมนตรี มี 4 ฉบับ ออกเมื่อปี 2559 และอีก 5 ฉบับ ออกเมื่อปี 2566 จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีการชำระเงิน จนกระทั่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีจึงรับสารภาพว่าจะเริ่มจ่ายในปี 2569
วิโรจน์กล่าวต่อไปว่า กรณีดังกล่าวทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยว่า นี่อาจไม่ใช่การซื้อขายหุ้น แต่เป็นการทำนิติกรรมอำพรางเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ที่ผ่านมาอธิบดีกรมสรรพากรก็พยายามแก้ต่าง แต่ประชาชนไม่เชื่อ ซึ่งตามมาตรา 42 (26) (27) และ (28) ของประมวลรัษฎากร นายกรัฐมนตรีต้องจ่ายภาษีการรับให้เป็นมูลค่า 218.7 ล้านบาท
“จากกรณีการใช้ตั๋ว P/N ประเทศชาติได้เงินจากนายกรัฐมนตรีเพียง 27 บาท เป็นค่าอากรแสตมป์ที่ติดไว้ในตั๋ว P/N 3 ฉบับ ฉบับละ 9 บาท” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์ยกตัวอย่างเปรียบเทียบกรณี เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โอนหุ้นแสนศิริให้ลูกสาว ซึ่งลูกสาวเศรษฐาก็สำแดงอย่างตรงไปตรงมา และจ่ายภาษีการรับให้ ไม่เห็นใช้ตั๋ว P/N ตรงไหน ต้องชื่นชมเศรษฐาที่สอนลูกมาดี ซึ่งเรื่องนี้ตนเองจะติดตามอย่างไม่ลดละ และได้ยื่นหนังสือไปยังกรมสรรพากรวินิจฉัยแล้ว แต่ผ่านมา 5 เดือน ยังไม่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม
“จนเส้นทางการเงินของสีกากอล์ฟเขาสืบกันจนสิ้นไส้แล้ว แต่ตั๋ว P/N ของนายกรัฐมนตรียังไม่ถึงไหน ยังตั้งคณะกรรมการอยู่เลย” วิโรจน์กล่าว
อยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริง
ด้านจุลพันธ์ชี้แจงว่า ทางกรมสรรพากรไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งแต่ได้รับเรื่องเมื่อ 28 มีนาคม 2568 ได้ดำเนินการพิจารณาว่ามีมูลตามที่สงสัยหรือไม่ และมีการหาข้อมูลภายในและภายนอก รวมถึง ป.ป.ช. และกรมธุรกิจการค้า ได้ข้อมูลมาค่อนข้างครบถ้วน ซึ่งช่วงนี้จะสืบหาข้อเท็จจริง โดยเชิญ 7 บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการโอนหุ้น เพื่อตรวจสอบอยู่ ยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น
จุลพันธ์บอกด้วยว่า จะเร่งรัดไม่ได้ เพราะกระบวนการเรื่องภาษีไม่ได้มีแค่เรื่องนี้ ยังมีทั้งเรื่องภาคเอกชนและภาคการเมือง แม้เศรษฐาเองก็มีคดีเรื่องภาษีร้องเรียนเข้ามา ซึ่งกรมสรรพากรก็ได้ให้ความเป็นธรรม ผ่านมา 2 ปี ก็ยังดำเนินการต่อ
“ยกตัวอย่างอีกคดีหนึ่ง เช่น การโอนเงินเพื่อสนับสนุนม็อบ นี่เป็นกลุ่มของท่านเอง ด้วยความเคารพ เราก็ดำเนินการอย่างถูกต้อง ไม่มีการเร่งรัด ไม่นิ่งนอนใจ แต่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน เพราะเรื่องนี้มีการให้คุณให้โทษกับประชาชนได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้ความเป็นธรรมทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียม” จุลพันธ์กล่าว
จุลพันธ์กล่าวต่อไปว่า ต่อจากนี้จะเป็นการสืบสวนสอบสวน โดยจะเชิญนายกรัฐมนตรี และญาติพี่น้องต่างๆ มาสอบถามข้อเท็จจริง จะตอบว่าเสร็จกระบวนการเมื่อไรคงตอบไม่ได้ หากรวบรวมข้อเท็จจริงครบแล้วก็จะส่งให้กรมสรรพากรวินิจฉัยว่ามีมูลหรือไม่
ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดพิชัยจึงยังไม่ตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวินิจฉัยให้ครบถ้วน เพราะตั้งแต่มีคณะกรรมการวินิจฉัยมา 40 ปี มีกรณีที่ต้องเข้าสู่คณะกรรมการไม่เยอะ มีเพียง 42 กรณี ครั้งล่าสุดที่ประชุมก็ปี 2563 มาแล้ว ซึ่งหากกรมสรรพากรพิจารณาว่าเรื่องนี้มีมูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็สามารถเร่งรัดตั้งบุคลากรเข้าไปได้ไม่ยาก
กรมสรรพากรไม่นิ่งนอนใจ แต่ไม่เร่งรัด
ต่อมาวิโรจน์ได้กล่าวว่า เพียงแค่จะประเมินว่าเสร็จเมื่อไร อย่างช้าก็ไม่ได้เลยหรือ ส่วนตัวมองว่า การดำเนินการโดยขาดกำหนดเวลา เป็นการบริหารที่ใช้ไม่ได้ ก่อนตั้งคำถามต่อไปว่า อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงเมื่อวานนี้ (27 สิงหาคม) ว่า มีคณะกรรมการอีกชุดตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาความเหมาะสมของตั๋ว P/N ทั้งระบบ
“เรื่องนี้แนะนำอธิบดีกรมสรรพากรนิดหนึ่ง คณะกรรมการนี้ ท่านควรเชิญบิดานายกรัฐมนตรี มาเป็นเสมียนประจำคณะกรรมการ เพราะบิดานายกรัฐมนตรี ท่านใช้ตั๋ว P/N บ่อยที่สุด คล่องที่สุด เก่งที่สุดกว่าใครบนแผ่นดินนี้แล้ว” วิโรจน์กล่าว
วิโรจน์ถามอีกว่า ในเมื่อยังไม่ทราบว่ากระบวนการจะแล้วเสร็จเมื่อไร ตั้งคำถามว่าจะมีการให้ความเป็นธรรมกับประชาชนคนอื่น ที่โอนหุ้นและจ่ายภาษีอย่างถูกต้องไปแล้วอย่างไร มีมาตรการชั่วคราวคุ้มครองหรือไม่
“หากในอนาคตมีคำวินิจฉัยออกมาว่า แพทองธารโมเดล เป็นการวางแผนภาษีแบบดุดันไม่เกรงใจใคร แพทองธาร เรนเจอร์ แรปเตอร์ ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย แล้วจะให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่สำแดงการโอนหุ้นอย่างถูกต้อง และจ่ายภาษีรับให้อย่างตรงไปตรงมาอย่างไร” วิโรจน์ระบุ
จุลพันธ์ยืนยันว่า ไม่มีกรณีพิเศษ เพียงแต่กรณีของนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่วิโรจน์เองหยิบยกมาพูดในสภาฯ และกรณีตั๋ว P/N ยืนยันว่า มีมากกว่า 1 กรณี และผู้เสียภาษีจะเสียจากกำไรที่เกิดขึ้น และตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มีช่องทางชำระได้ 2 ช่องทาง คือ ใช้ตั๋วและตัวแทนเงิน และอีกทางคือใช้ตั๋ว เช่น ตั๋ว P/N ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่า การใช้ตั๋ว P/N จะกำหนดวันเวลาหรือไม่ก็ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีเรื่องเกิดขึ้น ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด ซึ่งตอนนี้ถึงขั้นตอนการเวียนความเห็นของหน่วยงานต่างๆ แล้ว เป็นเรื่องภายในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งให้คำมั่นสัญญาเรื่องกรอบเวลาไม่ได้ เพราะกระทบกับคนนอก แต่เรื่องคณะกรรมการศึกษาเรื่องตั๋ว P/N ยืนยันว่า เสร็จภายในสิ้นปีนี้แน่นอน ว่าตั๋ว P/N เป็นช่องโหว่หรือไม่ และควรแก้ไขหรือไม่ เพื่อในอนาคตจะได้มีการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวในสภาฯ
“ถามว่าเร่งรัดหรือไม่ ผมกล้าตอบว่า ผมไม่ได้เร่ง แต่ผมไม่ได้ช้า เป็นไปกระบวนการที่มันเป็น ผมจะไปเร่งเพื่อให้ไม่เป็นธรรมกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถูกใจท่าน ผมก็ทำไม่ได้เช่นเดียวกัน” จุลพันธ์กล่าว