กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย ทุนใหญ่แจ้งเลิกกิจการในเดือนเดียว 3 ราย ขณะที่สถิติจดทะเบียนกรกฎาคม 2568 ยังโต 9.78% หนุนยอด 7 เดือนทุนจดทะเบียนทะลุ 171,158 ล้านบาท บวกกับการลงทุนของชาวต่างชาติพุ่ง 75% ยันสะท้อนความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์ การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนกรกฎาคม 2568 มีจำนวน 1,825 ราย เพิ่มขึ้น 357 ราย (24.32%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (1,468 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 20,156 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9,753 ล้านบาท (93.75%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2568 (10,403 ล้านบาท)
ทั้งนี้ เดือนกรกฎาคม 2568 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 14,068 ล้านบาท ได้แก่
- บริษัท อินโดรามา ปิโตรเคม จำกัด ทุนจดทะเบียน 10,146.17 ล้านบาท ซึ่งทำธุรกิจประกอบกิจการผลิต ส่งออก นำเข้า ทำ ซื้อ ขาย แผ่นโพลีเอสเตอร์ เส้นใยโพลีเอสเตอร์ เส้นด้าย โพลีเอสเตอร์
- บริษัททรู ไลฟ์ พลัส จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,575 ล้านบาท ประกอบกิจการให้บริการเกมออนไลน์
- บริษัท ทรู อีโลจิสติกส์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,347 ล้านบาท ประกอบธุรกิจให้บริการข้อมูลข่าวสารวิชาการในด้านการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาการบริหารการพัฒนาองค์การเทคโนโลยี และอื่นๆ
โดยสรุป การจดทะเบียนเลิกช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) มีจำนวน 8,069 ราย เพิ่มขึ้น 140 ราย (1.77%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (7,929 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 50,700 ล้านบาท ลดลง 34,880 ล้านบาท (-40.76%) เมื่อเทียบกับช่วง 7 เดือนของปี 2567 (85,579 ล้านบาท)
ธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 707 ราย
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 412 ราย
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 352 ราย คิดเป็นสัดส่วน 8.76%, 5.11% และ 4.36% ตามลำดับ
ขณะที่ การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,710 ราย เพิ่มขึ้น 687 ราย (9.78%) และในเดือนกรกฎาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 3,206.37 ล้านบาท ได้แก่
- บริษัท เหอลี่ อินดัสเทรียล วีฮีเคิลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,001.88 ล้านบาท ประกอบกิจการผลิต ประกอบและจำหน่ายยานยนต์อุตสาหกรรมครบวงจร
2.บริษัท ดับเบิ้ลยูทียู ซินดิเคท จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,204.49 ล้านบาทประกอบกิจการซื้อขาย แลกเปลี่ยน เช่า พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ ขายฝาก ตลอดจนทะเบียนสิทธิ์
อธิบดีอรมน กล่าวอีกว่า สรุปการจัดตั้งใหม่ช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) อยู่ที่ 51,548 ราย ลดลง 2,672 ราย (-4.93%) เมื่อเทียบกับปี 2567 (54,220 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 171,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,375 ล้านบาท (1.41%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (168,783 ล้านบาท)
โดยธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 4,107 ราย
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,259 ราย
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2,118 ราย คิดเป็นสัดส่วน 7.97%, 6.32% และ 4.11% ตามลำดับ
“สัดส่วนของการจัดตั้งธุรกิจและจดเลิกในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 6:1 กล่าวคือ จัดตั้ง 6 ราย เลิก 1 ราย สัดส่วนนี้ยังเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีย้อนหลัง (2563-2567) ซึ่งปี 2568 มีจำนวนจัดตั้งใหม่ 51,548 ราย ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่มีจำนวน 48,040 ราย ยังคงเป็นไปตามวัฏจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ”
น่าสนใจว่าประเภทธุรกิจที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นในช่วง 7 เดือนของปี 2568 ใน 3 อันดับแรก เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 คือ
- ธุรกิจขายส่งสินค้าทั่วไป โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง เพิ่มขึ้น 317 ราย คิดเป็น 50.16%
- ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและห้องชุด เพิ่มขึ้น 280 ราย คิดเป็น 46.90%
- ธุรกิจขนส่ง ขนถ่ายสินค้า และคนโดยสาร เพิ่มขึ้น 229 ราย คิดเป็น 23.46%
ส่วนเงินลงทุนต่างชาติช่วง 7 เดือนของปี 2568 (มกราคม-กรกฎาคม 2568) รวมทั้งสิ้น 159,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% หรือ 68,473 ล้านบาท (75%) เมื่อเทียบปีที่แล้ว โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
- ญี่ปุ่น
- สหรัฐอเมริกา
- สิงคโปร์ 74 ราย
- จีน
- ฮ่องกง
ขณะที่ การลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 7 เดือนของปี 2568 อยู่ที่ 176 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย ลงทุนราว 73,186 ล้านบาท คิดเป็น 46% ของเงินลงทุนทั้งหมด
นอกจากนี้ เดือนนี้ กรมฯ ได้วิเคราะห์ธุรกิจที่น่าสนใจ พบว่า ‘ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ’(Vending Machine) เป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เติบโตสอดคล้องกับวิถีชีวิตยุคใหม่
ปัจจุบัน มีผู้ประกอบการในธุรกิจนี้กว่า 760 ราย ทุนจดทะเบียนรวมกว่า 5,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 34.74%
“ธุรกิจนี้ยังดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศรวมกว่า 619 ล้านบาท โดย 3 อันดับที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุดคือ ฮ่องกง ลงทุน 455 ล้านบาท หมู่เกาะเคย์แมน ลงทุน 76 ล้านบาท และออสเตรีย ลงทุน 27 ล้านบาท ดังนั้น การลงทุนรวม ยังสะท้อนเศรษฐกิจภาพรวมได้ดี แม้เผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอ” อรมน กล่าว
ภาพ: Stefan Herrick / Getty Images