ทรัมป์ ปลด ลิซ่า คุก ผู้ว่าการ Fed ครั้งแรกในประวัติศาสตร์รอบ 111 ปี สั่นคลอนความเป็นอิสระของธนาคารกลางอย่างมีนัยสำคัญ หลัง Fed แข็งขืนที่จะลดดอกเบี้ยตามความต้องการของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สั่งปลด ลิซ่า คุก ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Board of Governors) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในคืนวันจันทร์ (25 สิงหาคม) ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากคุกปฏิเสธที่จะยินยอมลาออกก่อนหน้านี้
คุกเป็นหนึ่งในสมาชิกทั้งเจ็ดของสภาผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ และยังเป็นผู้หญิงเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนี้
ทรัมป์ระบุว่า คำสั่งดังกล่าวมีผลทันที จากเหตุผลอันเพียงพอที่เชื่อได้ว่า คุกให้การเท็จเกี่ยวกับสัญญาจำนอง โดยคุกระบุที่พักอาศัยหลักในสัญญาแต่ละฉบับแตกต่างกัน
ตามจดหมายของทรัมป์ที่ส่งไปยังคุก และเผยแพร่กับสาธารณะระบุว่า คุกได้ลงนามในเอกสารฉบับหนึ่งว่า สินทรัพย์ในรัฐมิชิแกนจะเป็นที่อยู่อาศัยหลักของคุกในปีต่อไป
“แต่อีกสองสัปดาห์ถัดมา คุณกลับลงนามในเอกสารอีกฉบับว่า สินทรัพย์ในรัฐจอร์เจียจะเป็นที่อยู่อาศัยหลักของคุณในปีต่อไปซะงั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่ตระหนักถึงข้อตกลงในเอกสารฉบับก่อนหน้า” ทรัมป์ระบุ
“เมื่อพิจารณาพฤติกรรมอันเข้าข่ายหลอกลวงทางการเงิน และอาจมีความผิดทางอาญานี้แล้ว ทำให้พวกเขา (ประชาชนชาวอเมริกัน) และผม ไม่อาจเชื่อมั่นในความซื่อสัตย์ของคุณได้อีกต่อไป”
“อย่างน้อยที่สุด ประเด็นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความประมาทเลินเล่อในการทำธุรกรรมทางการเงินของคุณ ซึ่งทำให้เรากังขาถึงความสามารถและความน่าเชื่อถือของคุณในฐานะผู้กำกับการเงิน”
คำสั่งปลดอาจต้องพิสูจน์ในชั้นศาล
นับเป็นการยกระดับแรงกดดันต่อธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed คนปัจจุบัน ซึ่งขัดขืนที่จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามความประสงค์ของทรัมป์
นอกจากนี้ ยังเป็นการปลดสมาชิกสภาผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์กว่า 111 ปี ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอิสระจากการเมืองนับตั้งแต่ปี 1951 อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม คำสั่งปลดดังกล่าวนำมาซึ่งข้อถกเถียงด้านกฎหมาย ว่ามีเหตุผลเพียงพอในการปลดหรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายบางคนระบุว่าอาจต้องมีการพิสูจน์ในชั้นศาล และอาจไปไกลถึงศาลสูงสุด (Supreme Court)
รัฐสภาได้จำกัดอำนาจของประธานาธิบดีในการปลดผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยพลการใน Federal Reserve Act of 1913 ซึ่งระบุว่าประธานาธิบดีสามารถทำได้ ‘โดยมีเหตุอันควร’ (for cause) เท่านั้น
แม้กฎหมายจะไม่ได้ระบุถึงรายละเอียด ว่าอะไรถือเป็น ‘เหตุอันควร’ แต่ในอดีตได้มีการตีความว่าหมายถึง การประพฤติมิชอบหรือการละทิ้งหน้าที่
เอลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์ สังกัดพรรคเดโมแครต กล่าวว่า “ความพยายามในการปลดลิซ่า คุก แสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังของประธานาธิบดี ที่ต้องการหาแพะรับบาป เพื่อปกปิดความล้มเหลวในการลดภาระค่าครองชีพของชาวอเมริกัน”
วอร์เรน ซึ่งเป็นคณะกรรมาธิการวุฒิสภา ด้านการธนาคาร, เคหะ, และกิจการเมือง กล่าวว่า “นี่เป็นการใช้อำนาจแบบเผด็จการ ซึ่งละเมิดรัฐบัญญัติธนาคารกลาง (Federal Reserve Act) อย่างโจ่งแจ้ง และต้องถูกหักล้างในชั้นศาล”
ทรัมป์กดดันให้คุกยอมลาออกนับตั้งแต่สัปดาห์ก่อน หลังบิล พัลต์ ผู้อำนวยการสำนักงานการเงินที่อยู่อาศัยของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ร่อนจดหมายเปิดผนึกไปยัง แพม บอนดี อัยการสูงสุด เกี่ยวกับข้อกล่าวหาด้านสินเชื่อของคุก
ด้านคุกออกมาแสดงความเห็นว่ารับทราบเรื่องดังกล่าวผ่านสื่อ และไม่มีเจตนาที่จะลาออก เพียงเพราะถูกกลั่นแกล้ง จากคำถามลอยๆ ในเน็ต พร้อมระบุอีกด้วยว่า กำลังรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับประวัติการเงินของเธออย่างจริงจัง
Fed เสี่ยงไม่เป็นอิสระ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทรัมป์ตั้ง สตีเฟน มิแรน นั่งสภาผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ หลัง อาเดรียนา คูเกลอร์ (Adriana Kugler) ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยโจ ไบเดน (Joe Biden) ประกาศลาออกจากตำแหน่ง
หากทรัมป์ประสบความสำเร็จในการปลดคุก ทรัมป์จะสามารถเสนอชื่อผู้มาแทน และปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของสภาผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ในอีกหลายปีข้างหน้าได้ โดยผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯโดยทั่วไปจะดำรงตำแหน่ง 14 ปี
ทั้งนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ สองในเจ็ดคน คือ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และ มิเชลล์ โบว์แมน มาจากการแต่งตั้งของทรัมป์ เช่นเดียวกับ พาวเวลล์ ที่ทรัมป์ตั้งให้เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปี 2017 และกำลังจะหมดวาระในเดือนพฤษภาคม 2026
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวตอกย้ำให้สาธารณะชนกังวลต่อความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ ภายใต้รัฐบาลทรัมป์
แม้จะแข็งขืนต่อเสียงกดดันให้ลดอัตราดอกเบี้ยมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Dovish) อย่างชัดเจนในสุนทรพจน์ ณ การประชุมสัมมนาประจำปีของ Fed ที่เมืองแจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิง เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (22 สิงหาคม) พร้อมระบุว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะก่อภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แค่ชั่วคราว
อ้างอิง: