วันนี้ (21 สิงหาคม) ที่ลานประชาชน รัฐสภา กัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เดินทางมารับหนังสือจากกลุ่มมวลชนรวมพลังแผ่นดินที่ยื่นขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) 43-44 โดยกัณวีร์กล่าวว่า วันนี้ตนได้รับการประสานงานให้มารับหนังสือจากกลุ่มมวลชนที่ต้องการใช้กลไกของรัฐสภา เพื่อเปิดเวทีอภิปรายทั่วไปเกี่ยวกับปัญหาไทย-กัมพูชา ซึ่งได้พูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านแล้วว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญ
เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่นิ่ง โดยตนเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่ร่วมกับผู้สังเกตการณ์ผู้ช่วยทูต 8 ประเทศ พบว่ายังมีการปะทะกันอยู่ ทำให้เห็นว่ายังไม่สามารถนำไปสู่สันติภาพได้ ดังนั้น การอภิปรายในสภา หรือหากนายกรัฐมนตรีกลับมาปฏิบัติหน้าที่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ทันที เพราะเรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หลังรับหนังสือแล้วขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร กัณวีร์กล่าวว่า ขั้นตอนต่อจากนี้จะต้องนำไปพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อหารือว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร โดยต้องประเมินสถานการณ์ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะคดีคำพิพากษาของนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบต่อไป
สำหรับท่าทีของพรรคเป็นธรรมต่อการยกเลิก MOU 43-44 กัณวีร์กล่าวว่า ตนเองมีจุดยืนชัดเจน โดยเห็นว่าการเจรจาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชาควรใช้การเจรจาเป็นกลไกหลัก ไม่สามารถใช้การทหารได้ ดังนั้น MOU จึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะทำให้ทั้งสองประเทศสามารถพูดคุยกันได้ เนื่องจากมีการทำข้อตกลงร่วมกันไว้แล้ว
ส่วนการพิจารณาในที่ประชุมสภาเกี่ยวกับการยกเลิก MOU 43-44 กัณวีร์กล่าวว่า ตนเองจะร่วมอภิปรายแน่นอน หากมีการเสนอให้ยกเลิก ก็ต้องให้เหตุผลและแสดงให้เห็นถึงความจำเป็น เพราะตนเห็นว่า MOU ทั้งสองฉบับยังมีส่วนดี ที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถกลับมาพูดคุยกันได้ หากยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับแล้ว ต้องตอบให้ได้ว่าจะใช้ MOU ฉบับใดมาทดแทน หากมีการจัดทำฉบับใหม่ถือเป็นเรื่องดี แต่หากไม่มีข้อตกลงใดมารองรับ ตนเห็นว่าไม่สมควรยกเลิก
สำหรับท่าทีของรัฐบาล กัณวีร์กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจน รัฐบาลยังคงเงียบ มีเพียงรักษาการนายกรัฐมนตรีที่ออกมาพูดอยู่คนเดียว แม้สถานการณ์โดยรวมจะอยู่ในช่วงที่ควบคุมได้ แต่ในพื้นที่จริง ประชาชนจำนวนมากที่อพยพออกมา ยังไม่สามารถกลับไปอยู่บ้านของตนเองได้ เนื่องจากมีความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือการนำข้อเท็จจริงมาพูดกัน และรัฐบาลควรแสดงท่าทีที่ชัดเจน เพราะจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ยินเสียงจากประชาชนในพื้นที่มากนัก