×

ข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง บททดสอบความชอบธรรมรัฐไทย เกมการเมือง และชะตาชีวิตประชาชนที่ยังไร้คำตอบ

โดย THE STANDARD TEAM
09.08.2025
  • LOADING...
ที่ดินเขากระโดง

‘ที่ดินเขากระโดง’ รวมทั้งสิ้น 5,083 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลอิสาณ และตำบลเสม็ด อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ คือหนึ่งในข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินที่ยาวนานที่สุดของไทย เป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับชาวบ้านผู้ถือครองที่ดิน ซึ่งยืดเยื้อมายาวนาน ผ่านมาหลายรัฐบาล ที่ยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน และยังเต็มไปด้วยความคลุมเครือ

 

แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายคดีที่ดินที่มีความซับซ้อน กรณีเขากระโดงกลับสะท้อนภาพที่ลึกซึ้งกว่า เพราะนี่ไม่ใช่แค่ข้อพิพาท เรื่องสิทธิระหว่างรัฐกับประชาชน แต่หนึ่งในประเด็นข้อเท็จจริงที่ถูกพูดถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือผู้ถือครองที่ดินบางส่วนในพื้นที่พิพาทนี้ คือ ‘ตระกูลชิดชอบ’ ซึ่งเป็นครอบครัวการเมืองที่มีบทบาทสำคัญในจังหวัดบุรีรัมย์ และมีอิทธิพลอย่างต่อเนื่องในการเมืองระดับชาติ

 

จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กระบวนการคลี่คลายปัญหาเรื่องสิทธิใน ที่ดินเขากระโดง กลายเป็นเรื่อง ‘อ่อนไหว’ ที่ไม่เคยถูกจัดการอย่างตรงไปตรงมา และยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างแน่ชัดว่า ใครคือเจ้าของที่ดินตัวจริง

 

จุดเริ่มต้นข้อพิพาทเขากระโดง 

 

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในปี 2462 สมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อประเทศไทยมีความต้องการสร้างทางรถไฟสายใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง จึงมีการออก พ.ร.ฎ.กำหนดเขตสร้างทางรถไฟหลวงต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี 

 

ปี 2464 ออก พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อใช้ในการเวนคืนที่ดินมาสร้างทางรถไฟสายนี้ โดยอยู่ภายใต้การดำเนินงานของกรมรถไฟ หรือปัจจุบันก็คือ รฟท. ซึ่ง ระบุว่าเวนคืนที่ดินมาได้ทั้งหมด 5,083 ไร่ 

 

เวลาผ่านไป มีชาวบ้านทยอยเข้ามาอาศัยอยู่ในที่ดินเหล่านี้ แน่นอนว่า ถ้าอิงตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ที่ดินที่เป็นของ รฟท. เอกชนหรือชาวบ้านจะไม่สามารถครอบครองได้ 

 

ปี 2513 จึงมีการเจรจาร่วมกันระหว่างรฟท. กับชาวบ้าน ผลการเจรจายอมรับว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของรฟท. และทำหนังสือขออาศัย และ รฟท. ก็ยินยอม เหมือนจะตกลงกันด้วยดี แต่เวลาผ่านไป ชาวบ้านนำที่ดินไปขอออกโฉนดและซื้อขายเปลี่ยนมือกันเรื่อยมา 

 

ปี 2539 รฟท. เริ่มเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง และส่งเรื่องไปให้ทั้งคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ช่วยวินิจฉัย ผลออกมาว่าเป็นที่ดินของ รฟท. และขอให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณเขากระโดงที่อยู่ในข้อพิพาท แต่กรมที่ดินปฏิเสธไม่เพิกถอน 

 

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน บริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ได้มีข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดินเกิดขึ้นจำนวน 4 คดีหลัก ซึ่งสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านและ รฟท. ในเรื่องสิทธิการครอบครองที่ดิน

 

คดีที่ 1 ชาวบ้าน 35 รายกับใบ ส.ค.1

 

ในคดีแรก ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งจำนวน 35 ราย ที่ถือครองใบ ส.ค.1 หรือใบแจ้งการครอบครองที่ดิน นำเอกสารไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 40 ฉบับ แต่ถูก รฟท. คัดค้าน

 

ชาวบ้านจึงยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อขอสิทธิในการออกโฉนดดังกล่าว อย่างไรก็ดี ศาลฎีกามีคำพิพากษาในปี 2560 ว่าชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินในบริเวณนั้น และสั่งให้กรมที่ดินเพิกถอนสิทธิของประชาชนที่ถือครองใบ ส.ค.1 ซึ่งกรมที่ดินก็ได้ดำเนินการตามคำพิพากษา

 

คดีที่ 2 กลุ่มชาวบ้านผู้ถือ น.ส.3 กับการขอออกโฉนด

 

มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถือครองที่ดินด้วยเอกสาร น.ส.3 นำที่ดินไปขอออกโฉนดกับกรมที่ดิน แต่ก็ถูกการคัดค้านจาก รฟท. เช่นกัน โดยในปี 2561 ศาลฎีกาตัดสินว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของ รฟท. จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้กับชาวบ้านได้ กรมที่ดินจึงได้เพิกถอนเอกสาร น.ส.3 บางฉบับตามคำพิพากษา

 

คดีที่ 3 รฟท. ฟ้องร้องชาวบ้านเรื่องครอบครองที่ดินทางรถไฟ

 

รฟท. เป็นฝ่ายฟ้องร้องชาวบ้านว่าครอบครองที่ดินของ รฟท. โดยผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ดินบริเวณทางรถไฟแยกจากสถานีบุรีรัมย์ไปเขากระโดง ยาวประมาณ 8 กิโลเมตร ศาลจังหวัดบุรีรัมย์และศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำตัดสินตรงกันว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นของ รฟท.และให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดที่ดิน และเอกสาร น.ส.3 บางฉบับ ซึ่งกรมที่ดินก็ได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลอีกเช่นกัน

 

คดีที่ 4 คดีฟ้องร้องกรมที่ดินในศาลปกครอง

 

หลังจากที่ 3 คดีแรกได้ปิดฉากลง รฟท. ได้ยื่นฟ้องกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดินในศาลปกครอง กล่าวหาว่ากรมที่ดินละเลยหน้าที่ในการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณเขากระโดง และเรียกร้องให้ศาลสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินทั้งหมดจำนวน 5,083 ไร่ รวมทั้งเรียกค่าเสียหายจากการบุกรุกพื้นที่ของ รฟท. ด้วย

 

ในปี 2566 ศาลปกครองได้มีคำพิพากษายกฟ้องคำร้องของ รฟท. พร้อมสั่งให้อธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวน ที่ดินเขากระโดง ตามมาตรา 61 ของกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นกระบวนการปกติที่กรมที่ดินต้องดำเนินการในกรณีที่มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบ

 

ศาลระบุให้ทั้งสองฝ่ายตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดงเพื่อค้นหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของ รฟท. ตามคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 รวมถึงให้อธิบดีกรมที่ดินใช้อำนาจดุลยพินิจดำเนินการตามข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นดุลยพินิจที่ศาลไม่สามารถก้าวล่วงได้

 

กรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นจำนวน 4 คน แต่ไม่มีตัวแทนจาก รฟท. ร่วมอยู่ด้วย โดยให้เหตุผลว่า รฟท. เป็นคู่กรณีซึ่งอาจทำให้คณะกรรมการเสียความเป็นกลาง และอาจส่งผลให้มติของคณะกรรมการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

กรณีนี้ก่อให้เกิดความกังขาในวงกว้าง เนื่องจากองค์ประกอบของคณะกรรมการสอบสวนที่ดินตามกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 2 คน เป็นผู้ปกครองพื้นที่ รวมทั้งควรมีประธานคณะกรรมการที่อธิบดีกรมที่ดินแต่งตั้ง รวมถึงนายอำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เพื่อความครบถ้วนและความเป็นกลางในการพิจารณา

 

อย่างไรก็ดี สุดท้ายวันที่ 22 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการสอบสวนมีมติไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินกว่า 5,083 ไร่ โดยระบุว่า รฟท. ไม่มีพยานหลักฐานที่ยืนยันชัดเจนว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นของรฟท. และแนะนำให้ผู้เห็นว่า มีสิทธิ์มากกว่าดำเนินการพิสูจน์สิทธิ์ในชั้นศาล

 

เปิดใจอธิบดีกรมที่ดิน

 

พรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เปิดใจกับ THE STANDARD ถึงการมีมติไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินว่า กรมที่ดินไม่ได้เพิกเฉยต่อคำพิพากษาใดๆ แต่ได้ทำหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัดแล้ว

 

เขาอธิบายว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับเขากระโดงมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ในชั้นศาลยุติธรรม ซึ่งล้วนตัดสินแล้วว่า สิทธิของ รฟท. เหนือกว่าประชาชน ไม่ว่าจะเป็นกรณีของผู้ถือ ส.ค.1 หรือ น.ส.3 ก. แต่คำพิพากษาเหล่านั้น มีผลเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น 

 

ไม่ได้หมายความว่า กรมที่ดินจะสามารถใช้คำพิพากษาเหล่านั้นไปเพิกถอนเอกสารสิทธิในแปลงอื่นๆ ได้โดยอัตโนมัติ คำพิพากษาสั่งเฉพาะคู่กรณี คือโจทก์กับจำเลย กรมที่ดินไม่มีอำนาจไปเหมารวมว่า ทั้ง 5,083 กว่าไร่ต้องถูกเพิกถอนทั้งหมด

 

พรพจน์ เพ็ญพาส 

อธิบดีกรมที่ดิน (ขณะนั้น)

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

ตัวอย่าง คือ ในคดีที่ประชาชน 35 ราย ถือ ส.ค.1 ครอบครองที่ดินราว 200 ไร่ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิ และกรมที่ดินก็ได้ดำเนินการแล้วเรียบร้อย แต่พื้นที่เขากระโดงทั้งหมดมีมากถึง 5,083 ไร่ การจะเพิกถอนเอกสารสิทธิในพื้นที่อื่น ต้อง พิสูจน์ทราบเป็นรายแปลง ตามขั้นตอนของกฎหมาย ไม่สามารถใช้คำสั่งศาลแปลงหนึ่ง ไปครอบคลุมอีกพันกว่าแปลงได้

 

อธิบดีกรมที่ดินชี้แจงอีกว่า กระบวนการออกโฉนด หรือแปลง น.ส.3 ก. ให้เป็นโฉนด จะต้องผ่านขั้นตอนการรังวัด พิสูจน์แนวเขต และการชี้แนวเขตจากเจ้าของที่ดินข้างเคียง ทุกขั้นตอนมีที่มาของเอกสารชัดเจน ไม่สามารถกล่าวหาว่า ‘ออกทับที่ดินรถไฟ’ ได้แบบรวมๆ โดยไม่ตรวจสอบ โฉนดแต่ละแปลงมีที่มาแตกต่างกัน ดังนั้นกรมที่ดินจึงต้องพิสูจน์แยกแปลง โดยไม่สามารถ ‘เพิกถอนเหมารวม’ ได้

 

ทั้งนี้ เมื่อ รฟท. ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางในปี 2564 เพื่อขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิทั้งหมดในพื้นที่ 5,083 ไร่นั้น ศาลได้มีคำสั่ง เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ว่า ให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 ของประมวลกฎหมายที่ดินภายใน 15 วัน เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามหลักฐาน

 

ทั้งนี้ ศาลไม่ได้มีคำสั่งโดยตรงให้เพิกถอนโฉนดหรือเอกสารสิทธิทั้งหมดในพื้นที่พิพาท การเพิกถอนจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริง-ข้อกฎหมายอย่างไร ให้เป็นดุลยพินิจของอธิบดีกรมที่ดิน

 

พรพจน์ยอมรับว่า ปัญหา ที่ดินเขากระโดง ไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางกฎหมายธรรมดา แต่มีความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง สังคม และการเมือง ซึ่งแม้จะมีแรงกดดันทั้งจากสังคม สื่อ และบางกลุ่มการเมือง แต่กรมที่ดินจะยึดหลักกฎหมาย

 

ขณะเดียวกัน เรื่องที่ดินของหลวงนั้นทุกหน่วยงานที่มีกฎหมายรองรับในที่ดินของตัวเอง เช่น กรมป่าไม้, กรมอุทยานฯ, ส.ป.ก. และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะมีกฎหมาย และมีแผนที่แนบท้ายในการกำหนดขอบเขตพื้นที่ที่ตัวเองดูแล

 

สิ่งที่จะพิสูจน์ทราบได้จริงๆ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 ซึ่งบอกว่าการจะทำเส้นทางรถไฟนั้น ต้องมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)​ กำหนดเส้นทาง และพ.ร.ฎ.การซื้อที่ดิน ซึ่งล้วนต้องมีแผนที่แนบท้าย

 

แต่ รฟท.ขาดหลักฐานในส่วนนี้ไป ทำให้กรมที่ดินไม่มั่นใจในการที่จะออกแนวทางว่าที่ดินดังกล่าวนี้เป็นของใครกันแน่ เพราะสิทธิในที่ดินยังไม่เกิดความชัดเจน

 

แต่เหตุใดกรมที่ดินจึงไม่เอื้อให้หน่วยงานภาครัฐด้วยกัน ก็เพราะกรมที่ดินทำไม่ได้ เพราะศักดิ์และสิทธิของประชาชนที่มีหลักฐานค่อนข้างดีกว่า จนทำให้ไม่สามารถฟันธง และพิสูจน์ทราบได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของใครกันแน่ ดังนั้นควรที่จะต้องใช้กระบวนการของศาลยุติธรรมในการดำเนินการ

 

เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง

 

ทันทีที่ ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในเดือนกรกฎาคม 2568 โดยมีอำนาจกำกับดูแลกรมที่ดิน ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทโดยตรงต่อข้อพิพาทเขากระโดง

 

เนื่องจากก่อนหน้านี้ กรมที่ดินเคยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยครั้งนี้ ทำให้ สถานะของ ที่ดินเขากระโดง ต้องกลับมาอยู่ในภาวะไม่แน่นอนอีกครั้ง 

 

ภูมิธรรม เวชยชัย และ เดชอิศม์ ขาวทอง 

แถลงถึงความคืบหน้าผลการตรวจสอบอธิบดีกรมที่ดิน 

กรณีไม่เพิกถอนโฉนดที่ดิน 995 ฉบับ รวมทั้งสิ้น 5,083 ไร่ ที่บริเวณเขากระโดง

ภาพ : ศวิตา พูลเสถียร

 

ภูมิธรรมได้สั่งให้เดินหน้าตรวจสอบคดีข้อพิพาทเขากระโดงอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้ เดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลกรมที่ดิน เป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบกรณีคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน ที่ไม่เพิกถอนโฉนดที่ดินในพื้นที่เขากระโดง เมื่อปี 2567 

 

ทั้งนี้ มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจำนวน 7 คน เพื่อเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง และภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์ คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ข้อสรุปร่วมกันอย่างชัดเจนว่า ที่ดินเขากระโดงเป็นของรัฐ และประกาศเพิกถอนโฉนดที่ดินในเขตดังกล่าว เพื่อเดินหน้าสู่การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมายาวนานอีกครั้งหนึ่ง

 

‘เชษฐา​ โมสิกรัตน์’​ รองปลัดกระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ อธิบดีกรมที่ดินฯ กล่าวว่า​ คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 842-876/2560 คำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 8027/2561 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 หมายเลขคดี เลขแดง ที่ 1112/2563 และคำพิพากษาศาลปกครองกลาง​ เลขแดงที่ 548/2566 ศาลที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ​ และเป็นกรรมสิทธิของรฟท. เป็นที่ดินรถไฟที่มีไว้ใช้ในราชการตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง​ พ.ศ. 2464 มาตรา 3 (2)​ และได้รับความคุ้มครองมาตรา 6 (1)​ และ(2)​ 

 

ทั้งนี้ มีขอบเขตพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกา และแผนที่แสดงเขตที่ดินเพื่อสร้างทางรถไฟ และเพื่อจัดหาแหล่งวัสดุมาใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟและลำเลียงอิฐ​ ซึ่งจัดทำขึ้นเสร็จเรียบร้อย 18 พฤษภาคม 2465 

 

ทั้งนี้ กรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน​ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ​ จึงต้องผูกพันและมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล​ เนื่องจากมีหน้าที่และอำนาจในการคุ้มครองสิทธิในที่ดินของบุคคล​ และการจัดการที่ดินของรัฐ 

 

รวมทั้งดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน​ คือ เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ดังนั้นกรมที่ดินและอธิบดีกรมที่ดิน​ จึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล​ โดยการตรวจสอบและเพิกถอนโฉนดที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์หรือหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกให้ในที่ดินของรัฐ ซึ่งตนมีหน้าที่ต้องปฏิบัติและแก้ไข คำสั่งทางปกครองตามคำพิพากษาของศาลฎีกาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และศาลอุทธรณ์กลาง​ เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว​ 

 

ขณะที่ ภูมิธรรม กล่าวเสริมว่า คำพิพากษาของศาลปกครอง ศาลฎีกา และศาลอาญา ยืนยันชัดเจนว่า ที่ดินในพื้นที่เขากระโดงเป็นกรรมสิทธิของ รฟท.และตามแผนที่ที่ได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ จากรัชกาลที่ 5 พื้นที่ดังกล่าวเป็นที่ดินของหลวง และเป็นที่ดินของรัฐโดยแท้จริง

 

ประวัติศาสตร์ของที่ดินนี้ยังชี้ชัดว่า มีชาวบ้านเพียง 18 ครอบครัวที่ครอบครองก่อนที่จะมีการซื้อขายที่ดินดังกล่าวอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดย รฟท.  ทำให้ถือว่าเป็นที่ดินของรัฐโดยชอบธรรม

 

ภูมิธรรมกล่าวว่า ด้วยเหตุนี้ ที่ดินทั้งหมดที่ตกเป็นกรรมสิทธิของรัฐจะต้องได้รับการเพิกถอนโฉนดที่ดินของเอกชนตามกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางที่ใช้ทำสนามฟุตบอลและสนามแข่งรถก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินรัฐที่ไม่มีสิทธิให้เอกชนครอบครอง

 

นอกจากนี้ ตามมาตรา 61 (8) ของกฎหมายกรมที่ดินมีอำนาจเพิกถอนโฉนดในพื้นที่ดังกล่าวได้ทันทีตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป และในส่วนที่ยังมีข้อขัดแย้งหรือทับซ้อนในพื้นที่ชายขอบ จะมีการตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนดำเนินการเพื่อให้เกิดความชัดเจน

 

ภูมิธรรมยังเปิดเผยว่า พรพจน์ เพ็ญพาส อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ได้ยื่นหนังสือขอย้ายออกจากตำแหน่งแล้ว เพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่ดินเขากระโดงดำเนินไปอย่างโปร่งใสและไม่มีข้อกังวลด้านผลประโยชน์ โดยขณะนี้ปลัดกระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลการดำเนินงานต่อไป 

 

ส่วนคำถามสำคัญในการแถลงครั้งนี้ ‘แผนที่แนบท้าย’ ได้รับการชี้แจงว่า แผนที่ที่นำมาใช้แสดงในชั้นศาลนั้น เป็นแผนที่ที่มาจากพระราชกฤษฎีกาเวียนคืนที่ดิน ปี 2465 ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่รฟท. และกรมที่ดินได้นำมาแสดงต่อคณะกรรมการ โดยมีหลักฐานเอกสารชัดเจนรองรับ

 

เมื่อถูกถามถึงรูปแบบของเอกสารจากรฟท.ที่ใช้ยืนยันแนวเขต ก็ยืนยันว่า เป็นหนังสือตอบโต้ที่รฟท. ส่งให้คณะกรรมการ พร้อมแนบแผนที่ปี 2465 ซึ่งถือเป็นหลักฐานยืนยันแนวเขตที่ชัดเจน

 

บุรีรัมย์โต้ รฟท. ไม่มี พ.ร.ฎ. – แผนที่แนบท้าย

 

1 สัปดาห์ต่อมา ทนายความ, ตัวแทนประชาชนจังหวัดบุรีรัมย์, ผู้ประกอบการธุรกิจ และนิติบุคคล ที่มีเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่เขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมจัดงานแถลงข่าวที่สนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต เพื่อตอบโต้กระทรวงมหาดไทยเรื่องการเพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินกว่า 5,083 ไร่

 

ชนินทร์ แก่นหิรัญ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีเขากระโดง ชี้แจงว่า สิทธิในที่ดินของประชาชนยังคงชอบด้วยกฎหมาย แม้จะมีคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลอุทธรณ์บางคดีที่รฟท. นำมาอ้าง แต่ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง คำพิพากษาดังกล่าวผูกพันเฉพาะคู่ความ และที่ดินพิพาทในคดีเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับผู้ถือครองรายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงได้

 

พร้อมทั้งกล่าวว่า จนถึงปัจจุบันไม่ปรากฏว่า รฟท. ยังไม่สามารถแสดงหลักฐานชอบด้วยกฎหมายที่รับรองกรรมสิทธิในที่ดินเขากระโดงได้ เพราะไม่มีพระราชกฤษฎีกาหรือแผนที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาที่ถูกต้องตามกฎหมาย 

 

สำหรับหลักฐานที่ รฟท. ใช้อ้างอิงนั้น มีเพียงเอกสารเสนอขอจัดซื้อที่ดินเพื่อไปขนหิน แผนที่สำรวจชั่วคราว มาตราส่วน 1:4,000 และแผนที่แสดงแนวเขตข้อพิพาทที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ปี 2539 มาตราส่วน 1:4,000 

 

จึงไม่ใช่แผนที่ทางรถไฟที่ผ่านกระบวนการพระราชทานโปรดเกล้าฯ อย่างเป็นทางการ รวมถึง พ.ร.ฎ. กำหนดเขต พ.ศ. 2462 และพ.ศ. 2464 สิ้นผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2565 หากมีการจัดซื้อจึงไม่สามารถอ้าง พ.ร.ฎ. ทั้ง 2 ฉบับนี้ได้ จึงไม่มีอำนาจในการอ้างความชอบใดๆ ในเอกสารนี้ 

 

ส่วนรางรถไฟที่ปรากฏว่าเข้าไปในพื้นที่เขากระโดงนั้น เป็นเพียงรางชั่วคราวที่ใช้เพื่อการขนส่งหินสำหรับการก่อสร้าง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการเดินรถแต่อย่างใด จึงไม่อยู่ในข่ายที่ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษา 

 

ที่ดินเขากระโดง

ชนินทร์-ตฤณ แก่นหิรัญ 2 ทนายความเขากระโดง 

อธิบายแผนที่เพื่อตอบโต้ชี้แจงกรณีออกคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง

ภาพ : ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ดังนั้น เอกสารที่ รฟท. นำมาใช้ประกอบการเบิกความ เป็นเพียงแผนที่สำรวจ ไม่ใช่แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา กระนั้น การจะตีความว่าเอกสารดังกล่าวมีลักษณะบิดเบือนหรือไม่นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคนด้วย

 

ขณะเดียวกัน พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะนั้น ได้ระบุรายชื่อเจ้าของที่ดินในจังหวัดบุรีรัมย์ไว้หน้าที่ 293–407 อย่างชัดเจน แต่ไม่ปรากฏว่ามีพื้นที่ใดในบริเวณเขากระโดงรวมอยู่ในบัญชีดังกล่าว

 

อีกทั้งรายชื่อบุคคลทั้ง 18 ราย ที่ รฟท. อ้างว่ามีการซื้อขายที่ดินจากเจ้าของเดิม ก็ไม่ปรากฏอยู่ในพ.ร.ฎ. ฉบับใดเลย หากมีการซื้อที่ดินจริง ย่อมต้องปรากฏอยู่ในพ.ร.ฎ. ฉบับ พ.ศ. 2464 ตามหลักฐานทางกฎหมายด้วย

 

ดังนั้น ประชาชนผู้ถือครองที่ดินโดยชอบธรรม จึงพร้อมใช้สิทธิตามกฎหมายสูงสุดของประเทศเพื่อปกป้องที่ดินของตนเอง รวมถึงจะฟ้องร้องกรณีเพิกถอนเอกสารสิทธิอย่างไม่ชอบธรรม และดำเนินคดีอาญาหากพบการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ คดียังอยู่ในศาลปกครอง เพื่อให้ศาลวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งที่ออกโดยอธิบดีกรมที่ดิน และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง

 

มากไปกว่านั้น มองว่าการตั้งคณะกรรมการนอกกฎหมายทั้ง 7 คนเพื่อตรวจสอบอธิบดีกรมที่ดิน โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพื่อเพิกถอนเอกสารสิทธิในเวลาเพียง 8 วันนั้น ทนายความมองว่าเป็นการแทรกแซงทางการเมืองที่รุนแรง และอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสิทธิของประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วย

 

ชาวบ้านเขากระโดง: ไม่หนี ไม่ย้าย ไม่ออก 

 

‘จันทร์ ฮาเจริญกุล’ อายุ 64 ปี หนึ่งในผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินเขากระโดง เปิดเผยว่า ตนเองถือครองโฉนดที่ดินตั้งแต่ปี 2513 ซึ่งในเอกสารสิทธิมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเมื่อได้ยินข่าวการเพิกถอนโฉนดที่ดินก็รู้สึกเสียใจ และอยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา 

 

พร้อมทั้งตั้งคำถามว่าจะเพิกถอนได้อย่างไรในเมื่อโฉนดที่ดินดังกล่าวก็ออกโดยกรมที่ดิน พร้อมยอมรับว่า ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนมาก หากรื้อถอนชาวบ้านจะไปอยู่ที่ไหน เพราะอยู่ที่นี่มานานแล้ว

 

ส่วนที่มีการเพิกถอนที่ดินนั้น มีเจ้าหน้าที่มาติดต่อพูดคุยบ้างหรือไม่ จันทร์ กล่าวว่า ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาติดต่อเลย เราก็ติดตามข่าวอยู่ และเห็นมีแต่ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเพียงอย่างเดียว เราก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ซึ่งหากจะเยียวยา รัฐบาลจะมีปัญญาเยียวยาให้ชาวบ้านหรือไม่ เพราะมี 900 กว่าครัวเรือน

 

จันทร์ ยืนยันว่า จะไม่ยินยอมให้เพิกถอนที่ดิน หรือให้เช่าพื้นที่กับ รฟท. เพราะเราอยู่มาก่อน ซึ่งเราจะไม่หนี ไม่ย้าย ไม่ออก หากเขามาขับไล่เราก็จะสู้ อีกทั้งมองว่า ควรจะไปแก้ไขปัญหาประชาชนหรือความขัดแย้งชายแดนให้จบก่อน

 

ที่ดินเขากระโดง

ประชาชนชาวบ้านเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์

เพื่อแสดงออกถึงการคัดค้านการเพิกถอนโฉนดที่ดิน 

ภาพ : ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

ขณะที่ ขนิษฐา คล้ายขำ อายุ 45 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ ตั้งคำถามว่า หากเพิกถอน รัฐบาลจะมีที่รองรับหรือไม่ และอยากทราบว่าเหตุใดไม่เพิกถอนตั้งแต่พื้นที่นี้ยังไม่พัฒนา แต่เมื่อชาวบ้านมีการพัฒนามีที่อยู่ที่ทำกินถึงเพิ่งจะมาเอาที่ดินในตอนนี้ จึงอยากรู้ว่ารัฐบาลต้องการอะไร และจะไม่ย้ายไปไหน

 

แม้มีสถานที่ให้ ก็ให้รัฐบาลไปอยู่เอง ซึ่งอยากให้รัฐบาลกลับไปทบทวนเรื่องนี้ให้ดี โดยมองว่า เป็นเรื่องของเกมการเมืองที่กลั่นแกล้งกัน เพราะก่อนหน้านี้เรื่องก็เงียบไป แต่เมื่อพรรคภูมิใจไทยถอนตัวร่วมรัฐบาลเรื่องนี้ก็กลับมาอีก

 

ส่วน ประทุม อุดมรัตน์ อายุ 63 ปี หนึ่งในผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินเขากระโดง บอกกับผู้สื่อข่าวเช่นกันว่า ตนเองเชื่อมั่นว่า เนวิน ชิดชอบ จะสามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้จากเรื่องปัญหาที่ดินเขากระโดง ซึ่งก็ติดตามเห็นว่าเนวินก็เป็นห่วงประชาชนในพื้นที่มาโดยตลอด และเป็นคนที่พัฒนาบุรีรัมย์มาโดยตลอด 

 

จากที่แต่ก่อนเป็นพื้นที่ไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อในปี 2555 สนามบอลสร้างเสร็จก็มีปัญหาทันที ทั้งๆ ที่แต่ก่อนก็ไม่มีปัญหา และเชื่อมั่นว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดีอย่างแน่นอน

 

ด้าน สงบ พลสยม ชาวบ้านในจังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ภายหลังทราบข่าวกระทรวงมหาดไทยเตรียมดำเนินการเพิกถอนสิทธิในที่ดินบริเวณเขากระโดงนั้น ตนรู้สึกใจเสียทันทีที่ได้ยินข่าว และถึงกับนอนไม่หลับ เพราะกังวลว่า หากถูกยึดที่ดินจะไม่มีที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในยุคที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทุกวัน

 

“ถ้าเพิกถอนที่ดิน แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหน ฉันเป็นทั้งผู้สูงอายุและผู้พิการอีก จะให้ไปอยู่วัดเหรอ ที่ดินแปลงดังกล่าวได้รับมาจากบิดาในฐานะมรดก และถือครองโดยสุจริตมาตลอด

 

สงบกล่าวต่อว่า พื้นที่ดังกล่าวเป็นเพียงแปลงเล็กๆ และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของครอบครัว ถ้าจะเพิกถอน ก็ขอให้ไปเพิกถอนของคนรวย อย่ามายุ่งกับคนจนเลย เรามีกันคนละนิดคนละหน่อย เห็นใจคนยาก คนจน คนแก่บ้าง

 

ขณะที่ กิตติเทพ เจียรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงโม่หินเพชร จำกัด หนึ่งในผู้มีเอกสารสิทธิในที่ดินเขากระโดง เปิดเผยว่า ขณะนี้โรงโม่หินสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแล้ว และเตรียมย้ายสถานประกอบการไปยังพื้นที่ตำบลสวายจีก อำเภอเมืองบุรีรัมย์

 

สำหรับกรณีพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินที่ผ่านมา กิตติเทพ กล่าวว่า ตนเคยทำหนังสือชี้แจงตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 พร้อมแนบเอกสารที่แสดงว่า รฟท. เคยรังวัดพื้นที่และออกโฉนดในแนวเขตข้างเคียงไว้แล้ว จากนั้นเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินลำชีจึงเข้ารังวัดและออกโฉนดในพื้นที่ของตน

 

“ก่อนหน้านี้ รฟท. เองยังเคยยืนยันว่าที่ดินของเราอยู่นอกเขต แต่วันนี้กลับขีดเส้นเขตขึ้นใหม่อย่างกว้างมาก ผมเองก็เพิ่งมาทราบเรื่องจากข่าวที่ออกสื่อ”

 

กิตติเทพกล่าวว่า ขณะนี้รอเพียงว่า กรมที่ดินจะดำเนินการฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิต่อครอบครัวของผมอย่างไร แต่ยืนยันว่าพร้อมต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม และเห็นว่า การเพิกถอนเอกสารสิทธิในทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ชี้แจงนั้นไม่ยุติธรรม

 

กรณีเขากระโดงมีมิติทางการเมืองแฝงอยู่ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย ขณะที่สองพรรคร่วมรัฐบาลกันก็ไม่มีเสียงอะไร แต่พอไม่ได้ร่วมรัฐบาลกันแล้ว ก็เรื่องนี้ก็ถูกหยิบกลับมาอีก อย่างเนวิน ชิดชอบ ที่ถือครองพื้นที่บางส่วนในเขตข้อพิพาท ก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ผมกับประชาชนทั่วไปที่ถือครองกันหลายร้อยไร่นี่ล่ะ โดนเต็มๆ

 

แม้จะมีคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องกับการเพิกถอน กิตติเทพย้ำว่า ไม่ได้รู้สึกกังวล และพร้อมยอมรับคำพิพากษาหากสุดท้ายต้องแพ้คดี แต่ยืนยันสิทธิในการชี้แจงข้อเท็จจริง ถ้าศาลตัดสินว่าแพ้ ผมก็ยอม ที่ดินก็เป็นของชาติ แต่ในระหว่างนี้ ตนเองขอใช้สิทธิในการสู้คดี เพราะก็อยากทราบว่าสุดท้ายแล้ว ใครผิดใครถูก 

 

พร้อมฝากถึงเจ้าหน้าที่และข้าราชการที่เกี่ยวข้องว่า ขอให้ทุกคนทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ความจริงไม่ตายหรอก แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับอำนาจว่าใครจะสั่ง

 

ประชาชนชาวบ้านในพื้นที่เขากระโดง

การคัดค้านการเพิกถอนโฉนดที่ดิน

ภาพ : ณาฌารัฐ ภักดีอาสา

 

อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ แม้จะไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่า ใครเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณเขากระโดงที่แท้จริงได้ แต่ข้อพิพาทนี้ได้สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของอำนาจรัฐไทยที่ยังขาดความชัดเจน โปร่งใส และเป็นธรรม 

 

กรมที่ดิน ซึ่งควรเป็นหน่วยงานที่ควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชน กลับกลายเป็นต้นเหตุของความสับสน ความล่าช้า และขาดความชัดเจนในการแก้ไขปัญหา จนทำให้กฎหมายถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายตรงกันข้าม

 

ท้ายที่สุด ‘เขากระโดง’ อาจไม่ใช่บทอวสานของข้อพิพาท หากแต่เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตศรัทธาต่อรัฐ ที่อาจฝังลึกและขยายวงกว้างยิ่งกว่าเดิม

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising