สหรัฐฯ ลั่น! เริ่มใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) เก็บภาษีนำเข้าประเทศคู่ค้า มีผลบังคับใช้แล้ว ค่ำคืนวันนี้ 7 ส.ค. นักวิเคราะห์เตือนชาวอเมริกัน ‘เตรียมรับมือราคาสินค้าแพงขึ้น’ โดยเฉพาะกาแฟ หลังอินเดีย-บราซิล โดนหนักสุด 50%
สำนักข่าว CNBC รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เริ่มใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (reciprocal tariffs) ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 7 ส.ค. โดยสหรัฐได้เรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น จากสินค้าของประเทศคู่ค้าหลายประเทศ
ขณะเดียวกัน ทรัมป์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม Truth Social ล่าสุดว่า “นับเป็นค่ำคืนที่เงินภาษีนับพันล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่สหรัฐอเมริกา!”
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โพสต์ว่า ภาษีชุดนี้มีเป้าหมายเพื่อดำเนินการกับประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐอเมริกามาหลายปี ก่อนถึงเส้นตายภาษีในวันที่ 1 ส.ค. กระทั่งทรัมป์ได้ปรับอัตราภาษีบางรายการใหม่ และขยายเส้นตายออกไปเป็นวันที่ 7 ส.ค.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
สำหรับอัตราภาษีที่สูงที่สุดบางประเทศ ประกอบด้วย ซีเรีย 41%, สปป.ลาวและเมียนมา 40% ขณะที่ สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งยังไม่สามารถตกลงกับสหรัฐได้ทันเวลา กำลังเผชิญภาษีนำเข้าในอัตรา 39%
รวมถึง บราซิลและอินเดียต่างเผชิญอัตราภาษีระดับสูงที่ 50% โดยอัตราภาษีของบราซิลเริ่มมีผลบังคับใช้แล้ว ส่วนอินเดียยังคงอยู่ที่ 25% และจะเพิ่มเป็น 50% มีผลบังคับใช้ภายในสิ้นเดือนนี้ ตามคำสั่งฝ่ายบริหารที่ลงนามเมื่อคืนที่ผ่านมา
โดยทรัมป์ระบุว่า การเรียกเก็บภาษีจากอินเดียในครั้งนี้ เป็นผลจากการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียอยู่
สำนักข่าว Aljazeera รายงานว่า การขึ้นภาษีนำเข้ากาแฟจากบราซิล จะส่งผลกระทบซ้ำเติมอุตสาหกรรมกาแฟของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาราคากาแฟที่สูงขึ้นเข้าไปอีก เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนกาแฟ เนื่องจากสภาพอากาศ
ด้านจอห์น ไดมอนด์ นักวิเคราะห์จากศูนย์นโยบายภาษีและงบประมาณแห่งสถาบันเบเกอร์ (Baker Institute) ระบุว่า ภาษีดังกล่าวอาจทำให้ผู้บริโภคสหรัฐฯ มีทางเลือกน้อยลงในการเลือกซื้อสินค้า และราคาสินค้า ก็จะเพิ่มสูงขึ้น
“ผมคิดว่า จะมีทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ และคุณจะเห็นว่า การจ่ายสินบนทางการเมืองและการลงโทษทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้ามนั้น ไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก” ไดมอนด์กล่าว
นอกจากนี้ ทรัมป์ ยังประกาศเมื่อช่วงค่ำวันพุธว่า เขาจะจัดเก็บภาษีนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากต่างประเทศ 100% แม้ว่าจะได้รับการยกเว้นสำหรับบริษัทที่ลงทุนในสหรัฐฯ ก็ตาม
ภาพ: Win McNamee / Getty image
อ้างอิง: