วันที่ 31 กรกฎาคม ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี ได้ลงนามในคำสั่งผู้บริหารฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขภาวะฉุกเฉินระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ (FURTHER MODIFYING THE RECIPROCAL TARIFF RATES) โดยคำสั่งนี้มีการปรับภาษีตอบโต้ และสินค้านำเข้าสินค้าบางประเภทจากคู่ค้าหลายประเทศ รวมถึงไทย โดยจะมีผลบังคับใช้ 7 วันหลังจากการประกาศ
สำหรับประเทศไทยได้ภาษีในอัตรา 19% นับว่าต่ำกว่าระดับ 36% ที่ทรัมป์เคยขู่ไว้เมื่อครั้งส่งจดหมายเพิ่มเติมเมื่อเดือนกรกฎาคม และเมื่อวัน liberation day เมื่อวันที่ 2 เมษายน และถือว่าได้ระดับเดียวกับหลายประเทศในภูมิภาค ดังนี้
ไทย 19%
กัมพูชา 19%
มาเลเซีย 19%
ฟิลิปปินส์ 19%
อินโดนีเซีย 19%
บรูไน 25%
ลาว 40%
เมียนมา 40%
โดยคำสั่งผู้บริหารฉบับนี้ (Executive Order) ระบุว่า มีเป้าหมายเพื่อตอบโต้ภาวะที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าอย่างมหาศาลและต่อเนื่อง ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์มองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ โดยคำสั่งนี้จะแทนที่คำสั่งเดิม (Executive Order 14257) ที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568
สำหรับ ประเทศคู่ค้าที่ไม่ได้ระบุในภาคผนวก: สินค้าจากประเทศคู่ค้าใดๆ ที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในบัญชีแนบท้ายของคำสั่งนี้ จะต้องเสียภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในอัตรา 10%
ทรัมป์ยังระบุว่า ยังมีคู่ค้าบางประเทศที่กำลังจะบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ดังนั้นภาษีนำเข้าใหม่นี้จะยังคงมีผลอยู่จนกว่าข้อตกลงเหล่านั้นจะสรุปผล
สหรัฐฯ ยังให้ความสำคัญกับสินค้าส่งผ่าน (Transshipment) โดยประเทศที่ถูกจับได้ว่าปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษี จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมในอัตราสูงถึง 40%
นอกจากนี้ คำสั่งยังมอบอำนาจให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและดำเนินการเพิ่มเติม หากมาตรการนี้ยังไม่สามารถแก้ไขภาวะฉุกเฉินทางการค้าได้ หรือหากคู่ค้ามีการตอบโต้สหรัฐฯ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “America First” ที่มุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและแก้ไข
ภาพ: Andrew Harnik/Getty Images
อ้างอิง:
