×

เหลือเงินอยู่ 9 ปอนด์ โดนปฏิเสธงานกว่า 1,000 ครั้ง กว่าจะมาเป็น โอ๊ต ชัยสิทธิ์ ช่างภาพระดับโลก

24.07.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 MINS READ
  • โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี เป็นช่างภาพเพียงไม่กี่คนบนโลก และเป็นช่างภาพไทยเพียงคนเดียวที่เป็นเจ้าของชุดภาพงานพิธีเสกสมรสเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เมื่อปี ค.ศ. 2011 ที่ถือว่าสมบูรณ์ที่สุด
  • เขาเคยร่วมงานกับ Rankin ช่างภาพโฆษณาระดับโลกที่ถ่ายภาพ Vivienne Westwood เอามือจับแก้มสองข้าง และยังเป็นช่างภาพไทยที่ร่วมงานกับช่างภาพระดับโลกและนิตยสารชั้นนำในอังกฤษหลายฉบับ

คุณคิดว่าการตามล่าฝันของคนเราต้องใช้อะไรบ้าง? แน่นอนว่าต้องใช้เวลา ความสามารถ ความอุตสาหะ ความเก่งกาจ ความทะเยอทะยาน ความดื้อแพ่ง ฯลฯ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ‘โอกาส’ ที่จะคว้าหรือสร้างฝันเหล่านั้นให้เป็นจริง

 

ผู้เขียนติดตามผลงานของ โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี ตั้งแต่เขายังอยู่อังกฤษ เขาเป็นช่างภาพเพียงไม่กี่คนบนโลก และเป็นช่างภาพไทยเพียงคนเดียวที่เป็นเจ้าของชุดภาพงานพิธีเสกสมรสเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ เมื่อปี ค.ศ. 2011 ที่ถือว่าสมบูรณ์ที่สุด ภาพชุดนั้นทำให้โอ๊ตเริ่มเป็นที่รู้จักของสื่อในประเทศไทย ประกอบกับการทำงานกับช่างภาพชื่อดังระดับโลกอีกหลายท่าน ทำให้เขาถูกจับตามองเป็นพิเศษ รู้สึกตัวอีกที ชายชื่อ ‘ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี’ ก็ก้าวสู่ทำเนียบช่างภาพอันดับต้นของไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกเสียแล้ว แต่กว่าจะถึงวันนั้น โอ๊ตเล่าให้เราฟังว่ามันไม่ง่ายเหมือนที่ใจอยาก เขาต้องทำลายกำแพงความภาคภูมิใจของตนเองออกหลายชั้น และสร้างโอกาสให้ตัวเองอีกหลายหน ผิดหวังจนท้อแท้ถึงขั้นไม่มีเงินประทังชีพเลยก็มี

 

แม่บอกว่า “ชาตินี้เป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นช่างภาพเลย”

เรื่องราวของผมมันตลกมากนะ จริงๆ ผมเป็นคนไม่มีพรสวรรค์เรื่องการถ่ายรูปเลย  กล้องตัวแรกที่จับเป็นกล้องคอมแพ็กใส่ฟิล์มกดชัตเตอร์ธรรมดาๆ คุณแม่ซื้อมาตอนเราอายุ 10 ขวบ เพื่อใช้บันทึกภาพในทริปเที่ยวฮ่องกงกับแม่สองคน ราคาตอนนั้นก็หลักพัน เราก็รู้สึกตื่นเต้นมาก กล่องสี่เหลี่ยมอันนี้เก็บภาพได้ด้วย ชอบมากถึงขั้นห้อยกล้องไว้ที่คอตลอดทั้งทริปเลย ตอนนั้นก็กดถ่ายไปมั่วๆ ไม่มีใครมาสอนหรอกว่าต้องจับภาพอย่างไร แบบนี้ย้อนแสงนะ ฯลฯ ทีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รูปทั้งหมดที่ผมถ่ายในทริปนั้นเมื่อล้างออกมาหัวขาด คุณแม่โกรธมาก เขาเอ่ยออกมาเลยนะว่า “ชาตินี้เป็นอะไรก็ได้ แต่อย่าเป็นช่างภาพเลย” เราไม่รู้นี่ว่า Viewfinder กับเลนส์ไม่ตรงกัน แล้วเส้นกรอบๆ คือขอบระยะของเฟรม

 

หลังจากนั้นมาผมก็ไม่จับกล้องอีกเลย จนกระทั่งอายุ 17 ปี ช่วง ม.5 ขึ้น ม.6 จากกล้องฟิล์มก็เป็นดิจิทัลละ เราก็อยากได้กล้องไว้ถ่ายรูปกับเพื่อนช่วงเรียนจบ ก็เลยเดินไปบอกแม่ว่าอยากได้กล้อง เขาก็จะทำเงียบๆ เมินๆ ไป ทุกครั้งที่แม่ไปห้างเราก็จะลากเขาไปร้านกล้อง และก็ขอเขาทุกครั้งอยู่แบบนี้ตลอด แต่แม่ใจแข็ง เขาก็เมินคำขอเราอีกเช่นกัน จนกระทั่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เราก็เลยถือโอกาสขอของขวัญเป็นกล้องถ่ายรูป และก็กลายเป็นกล้องตัวแรกในที่สุด

 

ทำไมถึงสนใจด้านการถ่ายภาพจริงจัง

พอผมได้กล้องตัวแรกมาใช่ไหมครับ Canon 300D เป็นกล้อง DSLR ตัวใหญ่เลย เวลาเอาไปใช้ถ่ายกับเพื่อนก็รู้สึกเท่มาก ดูโปรฯ มาก ส่วนเพื่อนก็จะเป็นกล้องกิ๊กก๊อก แต่พอเวลาเอารูปมาเทียบกันปรากฏว่าไม่ได้เรื่องเลย (หัวเราะ) ทำไมของเพื่อนสวยกว่าเยอะ เราก็เลยเข้าใจว่า ‘อุปกรณ์แพงไม่ได้ช่วยให้คุณถ่ายภาพเก่งขึ้นเลย’ จากนั้นก็เลยเริ่มหาข้อมูล เริ่มฝึกอ่าน ฝึกปฏิบัติ ลงเรียนคอร์สต่างๆ ดูเหมือนจะดีนะ แต่ผมบอกเลยว่าไม่ดีเลย เป็นวิธีการที่ผิด มันทำให้เราสะเปะสะปะไปหมด จับต้นชนปลายไม่ถูก รู้อะไรก็ไม่จริงสักอย่าง จนกระทั่งผมได้ไปเรียนกับอาจารย์นพดล อาชาสันติสุข บรรณาธิการนิตยสาร Camerart ในสมัยนั้น ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่เคยรู้มามันผิดหมดเลย อาจารย์ไม่ได้สอนถ่ายรูปให้จำ แต่สอนให้เราเข้าใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การถ่ายภาพมากกว่าศิลปะการถ่ายภาพ ประกอบการเรียนสถาปัตย์ด้วย ก็เลยทำให้เรามีแง่มุมอีกแบบหนึ่ง มีเหตุและผลของการถ่ายภาพมากกว่าคนที่มาเรียนด้วยกัน

 

 

โลกแห่งความเป็นจริงอยู่ที่อังกฤษ

ครั้งแรกที่ผมเข้าคลาสเรียน ความรู้สึกแรกที่เข้ามาในหัวเลยคือ ตัวเองโคตรกระจอก

ผมช็อกมาก เหมือนทุกอย่างที่เข้าใจมาผิดหมดทุกอย่าง เราอยู่ในประเทศที่มีค่านิยมว่ารูปที่ดีคือรูปที่สวย ภาพสวยต้องมุมเป๊ะ แสงเป๊ะ กฎสามส่วน โน่นนี่นั่น ผมก็คือคนหนึ่งที่มีค่านิยมแบบนั้นมาก่อน สิ่งเหล่านี้ทำให้เราถูกตีกรอบ ติดอยู่กับความสวยสำเร็จรูปมากกว่าความงามธรรมชาติของศิลปะ ดังนั้นพอเราเริ่มมองเห็นอะไรแบบนี้ เลยทำให้มุมมองเราเปลี่ยน เราเริ่มมองหาความสวยงามของชีวิต มองหาแรงบันดาลใจและถ่ายทอดมันออกมา

 

ผมเต็มที่กับการเรียนมาก อาจเป็นเพราะเป็นสิ่งที่ชอบและเรียนด้วยเงินที่หามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง (หัวเราะ) วันมีคลาสเข้าเรียน วันไม่มีเข้าห้องสมุด เข้าห้องมืดล้างภาพ เราขีดเส้นเป้าหมายชีวิตไว้เลยว่า ‘เราต้องเป็นช่างภาพระดับโลกให้ได้’

 

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น ได้ข่าวว่าคุณเคยเหลือเงินติดตัวแค่ 9 ปอนด์

(หัวเราะ) ใช่ครับ นึกถึงเด็กคนหนึ่งที่สามารถหาเงินล้านในประเทศไทยได้ภายใน 1 ปีไหมครับ ตอนนั้นคือตัวใหญ่มาก กร่างมาก ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้ตั้งแต่เหยียบสนามบินฮีทโธรว์เลยว่า ‘เรามาที่นี่เพื่อถ่ายภาพ เราจะไม่ล้างจานหรือทำงานอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานถ่ายภาพทั้งนั้น’ หลังจากนั้น 8 เดือนต่อมาเห็นผลเลย ผมเงินหมด ไม่เหลือเงินเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลืออยู่ 9 ปอนด์สุดท้าย จะโทรบอกแม่ก็รู้สึกว่าแพ้ กลัวแม่จะกังวล ก็เลยตัดสินใจเดินเข้าร้านอาหารไทยร้านหนึ่งแล้วถามเขาว่า ‘รับเด็กล้างจานไหมครับ’ ตอนนั้นคือรู้สึกยอมแพ้แล้ว ที่นี่อาจไม่ใช่ที่ของเรา ผมส่งจดหมายสมัครงานไปหาช่างภาพทั่วอังกฤษกว่า 1,000 ฉบับ เดิน walk-in สมัครงานอีกเป็น 100 ที่ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ยูทำไม่ได้หรอก”

 

แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้ ผมตัดสินใจยืมเงินเพื่อนเพื่อประทังชีวิตอีก 1 เดือน และเริ่มทำพอร์ตสมัครงานใหม่ทั้งหมด เปลี่ยนความคิดในการนำเสนอและสื่อสาร ปรากฏว่าหลังจากนั้น 1 เดือนผมได้งาน และเป็นงานกับ Julie Kim ช่างภาพดังติด 1 ใน 5 ของอังกฤษ ผมตกใจและดีใจมาก ตั้งใจนำพอร์ตไปเสนองานให้เขาเลยตอนสัมภาษณ์ ซึ่งเขาก็ยิ้มๆ แล้วก็ตอบมา “ยูมาช่วยงานเป็นผู้ช่วยช่างภาพก่อนละกันนะ” แต่สำหรับผมตอนนั้นคือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ คุณนึกถึงคนที่ตกต่ำถึงขีดสุดแล้วได้โอกาสสิครับ ผมใช้เวลาทุกวินาทีคุ้มค่ามาก ทำทุกอย่างที่ปุถุชนคนหนึ่งจะทำให้ดีได้ สังเกต จดจำวิธีการทำงาน มอง คิดตามทุกอย่าง จนผมเดาใจเขาออก และจัดการทุกอย่างให้เขาได้ จนเขาชมและยื่นโอกาสให้ผมอีกครั้งด้วยการให้ผมรับผิดชอบถ่ายงาน After Party ในวันเดียวกัน ผมตั้งใจถ่ายมาก หลังจากเสร็จงานนั้น 2 อาทิตย์ เขาส่งอีเมลกลับมาหาผมอีกครั้ง บอกว่าชอบงานผมมาก และอยากให้ผมมาถ่ายคู่กับเขาในงานถัดไป ตอนนั้นคือแบบ ดีใจมาก จากแค่ผู้ช่วยทดลองงาน เลื่อนขั้นมาเป็นกล้องสอง ถ่ายงานรองจากเขา

 

หนทางมีให้ก้าวต่อ จากก้าวหนึ่งสู่ก้าวสองและสาม

พอผมทำงานกับ Julie ได้สักพัก ผมเริ่มรู้สึกอยากท้าทายตัวเองมากขึ้น อยากฝึกงานถ่ายโฆษณากับช่างภาพระดับโลกบ้าง ผมลิสต์รายชื่อออกมาหมดเลยกับช่างภาพระดับท็อปที่ตอนนี้อยู่ที่อังกฤษ และส่งอีเมลไปหาเขา ปรากฏว่ามีตอบกลับมา 3 ฉบับ มีทั้งยังไม่รับ ตัวช่างภาพไม่อยู่ และยินดีรับผม ซึ่งช่างภาพที่ตัดสินใจรับผมเข้าฝึกงาน คือ Rankin ช่างภาพโฆษณาระดับโลกที่ถ่ายภาพ Vivienne Westwood เอามือจับแก้มสองข้าง พอได้ทำงานกับ Rankin ก็เหมือนอะไรๆ ก็ง่ายไปหมด หลังจากนั้นผมก็ได้ถ่ายภาพงานโฆษณา ภาพปกนิตยสารแฟชั่นหลายหัว

 

 

แม่รู้สึกอย่างไรตอนที่รู้ว่าตอนนี้ลูกชายกลายเป็นช่างภาพระดับโลก

เขาก็ดีใจและภูมิใจแหละครับ เพราะแม่เป็นคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเป็นช่างภาพ ตอนที่กลับไทยมาใหม่ๆ ผมมีนิทรรศการภาพถ่ายที่โรงแรม W Hotel ผมก็พาแม่ไปดู เขาก็ดูตกใจ ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ เขายังแซวผมเลยว่า “สิทธิ์ เห็นไหมว่าแต่ก่อนม๊าว่ารูปของเอ็งหัวขาด มาดูตอนนี้สิ รูปเอ็งอินเทรนด์ มีคนมาดูรูปหัวขาดของเอ็งเต็มเลย” (หัวเราะ) กลายเป็นเรื่องตลกที่ผมกับแม่คุยกัน

 

มีคำแนะนำอะไรไหมสำหรับคนที่อยากเป็นช่างภาพมือโปรเหมือนโอ๊ตบ้าง

สิ่งแรกเลยคือเขาต้องซื่อสัตย์กับตัวเองครับ ซื่อสัตย์กับความฝันของตนเองว่าเขาอยากเป็นช่างภาพ สองคือเขาต้องพยายามและอดทน เราอยู่ในยุคที่ใครๆ ก็ถ่ายรูปได้ครับ แต่สิ่งที่ทำให้คุณแตกต่างคือคุณต้องอดทนและซื่อสัตย์กับมัน สาม คุณต้องมีจรรยาบรรณในการทำงานเป็นช่างภาพ และสุดท้ายคือคุณต้องทำให้ตัวเองมีความทะเยอทะยานและพลังขับเคลื่อนในสิ่งที่คุณชอบตลอดเวลา เมื่อไรที่คุณหยุด มีคนอีกเป็นล้านที่พร้อมแซงคุณ

 

พูดถึงงาน Big Camera Big Pro Days 2018 ที่กำลังจะถึงหน่อย คุณไปทำอะไรบ้างในครั้งนี้

ต้องขอบคุณทาง Big Camera ก่อนเลยที่ให้เกียรติผมเป็นวิทยากรในครั้งนี้ Big Camera Big Pro Days เป็นงานลดราคาสินค้าเกี่ยวกับกล้องงานใหญ่ที่จัดขึ้นทุกปี แต่ละปีก็จะมีช่างภาพเก่งๆ มาพูดหลายท่าน ปีนี้ผมได้รับเกียรติถึง 3 วันคือ วันที่ 25, 26 และ 29 กรกฎาคม โดยวันที่ 25 และ 26 ผมจะพูดในหัวข้อ ‘แรงบันดาลใจและหนทางความสำเร็จสู่การเป็นช่างภาพ’ และวันที่ 29 จะพูดเรื่องการใช้แฟลช เล่าถึงข้อดี ข้อเสีย และเทคนิคการใช้ ซึ่งมีหลายคนที่ไม่เข้าใจการใช้แฟลชเยอะมาก ไปตามกันได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่คลาสเรียนแบบเต็ม แต่ผมเชื่อว่าคุณจะได้ความรู้ดีๆ กลับไปใช้แน่นอน

 

ใครที่อยากไปฟังคุณโอ๊ตเล่าถึงแรงบันดาลใจในการทำงานหรือเรียนรู้เทคนิคการถ่ายภาพ สามารถตามไปฟังกันต่อได้ที่งาน Big Camera Big Pro Days 2018 ชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย

 

สำหรับใครที่ยังคงล่าฝันและขาดแรงบันดาลใจ เราขอให้คุณตั้งมั่นและนำเรื่องราวของคุณโอ๊ตเป็นพลังในการก้าวเดินต่อไป

FYI
  • Big Camera Big Pro Days 12 ‘The Secret Life of Pros’ งานของคนรักการถ่ายภาพที่คุณไม่ควรพลาด งานลดราคาสินค้าเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูป ที่รวบรวมกล้องและอุปกรณ์ชั้นนำของโลกมากกว่า 30 แบรนด์ อาทิ Fujifilm, Sony, Olympus, Panasonic, Canon, Nikon, พร้อมโปรโมชันลดสูงสุด 50% รับเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน และรับสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรมเวิร์กช้อปแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ‘Big Camera Photo Workshop’ ฟรี มูลค่ากว่า 20,000 บาท
  • วันที่: 24-30 กรกฎาคม 2561
  • สถานที่: ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X