Nvidia Corp. ได้สร้าง ‘ประวัติศาสตร์หน้าใหม่’ ให้กับวงการเทคโนโลยีและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อกลายเป็นบริษัทอเมริกันแห่งแรกที่สามารถทำมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ทะลุระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จระหว่างการซื้อขายเมื่อวันพุธที่ 9 กรกฎาคมที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะย่อตัวลงเล็กน้อยจนปิดตลาดต่ำกว่าหลักชัยดังกล่าว แต่ก็ยังสามารถสร้างสถิติมูลค่าตลาด ณ ราคาปิดสูงสุดตลอดกาล แซงหน้าทุกบริษัทที่เคยมีมา
หุ้นของ Nvidia พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 164.42 ดอลลาร์ในช่วงเช้าของการซื้อขาย ทำให้มูลค่าบริษัททะยานผ่านหลัก 4 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 130.68 ล้านล้านบาท) เป็นครั้งแรก ก่อนจะปิดตลาดที่ 162.88 ดอลลาร์ ส่งผลให้มีมูลค่าตลาด ณ ราคาปิดที่ 3.974 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 129.85 ล้านล้านบาท)
ตัวเลขนี้ได้ทำลายสถิติเดิมของ Apple Inc. และตอกย้ำสถานะของ Nvidia ในฐานะบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แซงหน้า Microsoft ที่มีมูลค่า 3.74 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 122.19 ล้านล้านบาท) และ Apple ที่มีมูลค่า 3.18 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 103.89 ล้านล้านบาท) อย่างเป็นทางการ
การเติบโตของ Nvidia นั้นเป็นไปอย่างก้าวกระโดดและรวดเร็ว บริษัทสามารถไต่เต้าจากมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปี 2023 สู่ระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 และทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเร็วกว่า Apple และ Microsoft ที่ใช้เวลาหลายปีกว่าจะไปถึงหลัก 1 ล้านล้านดอลลาร์แรกอย่างมาก
ปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการฮาร์ดแวร์และชิป AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนับตั้งแต่การเปิดตัวของ ChatGPT ในช่วงปลายปี 2022 ซึ่ง Nvidia ได้วางตำแหน่งตัวเองเป็น ‘ผู้กำหนดทิศทางตลาด’ ในการสร้างหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่เป็นขุมพลังให้กับโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models)
ความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัททะยานขึ้นมากกว่า 15 เท่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วงเดือนที่ผ่านมาหุ้นของ Nvidia เพิ่มขึ้นมากกว่า 15% และเพิ่มขึ้นแล้วถึง 22% นับตั้งแต่ต้นปี
“นี่เป็นช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์สำหรับ Nvidia และบ่งชี้ว่าการปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์กำลังก้าวสู่ขั้นต่อไปของการเติบโต โดยมีชิปของ Nvidia เป็น ‘หัวใจหลักในการขับเคลื่อน’ การปฏิวัติครั้งนี้” Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าวในบทวิเคราะห์ เขาระบุว่า Nvidia เป็นผู้เล่นรายเดียวที่ครองตลาดชิป AI ในขณะนี้
ความสำเร็จนี้ส่งผลโดยตรงต่อมุมมองของนักวิเคราะห์ ซึ่งต่างพากันปรับเพิ่มคาดการณ์มูลค่าของบริษัทในอนาคตกันอย่างคึกคัก Dan Ives จาก Wedbush คาดการณ์ว่า Microsoft จะก้าวสู่ระดับ 4 ล้านล้านดอลลาร์ได้ในช่วงปลายฤดูร้อนนี้ และหลังจากนั้น “ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่การแข่งขันว่าใครจะเป็นรายต่อไปที่จะก้าวสู่ระดับมูลค่า 5 ล้านล้านดอลลาร์”
ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Barclays ก็ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้น Nvidia ไปที่ 200 ดอลลาร์ จากความเชื่อมั่นในแพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่อย่าง Blackwell ซึ่งจะทำให้บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 4.9 ล้านล้านดอลลาร์ แต่มุมมองที่น่าจับตาที่สุดมาจาก Ananda Baruah จาก Loop Capital ที่ให้ราคาเป้าหมายสูงถึง 250 ดอลลาร์ ซึ่งจะผลักดันให้บริษัทมีมูลค่าตลาดมากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์หากทำได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเติบโต Nvidia ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และข้อจำกัดทางการค้าที่ขัดขวางการขายชิปไปยังประเทศจีน
โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Nvidia ระบุว่าข้อจำกัดการส่งออกชิป H20 ที่สร้างขึ้นสำหรับตลาดจีนโดยเฉพาะ จะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้ถึง 8 พันล้านดอลลาร์ (ราว 2.61 แสนล้านบาท)
ซีอีโอ Jensen Huang ยอมรับว่าตลาดจีนที่มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์นั้น ‘ก็เหมือนถูกปิดตายไปแล้ว’ สำหรับอุตสาหกรรมสหรัฐฯ และการถูกปิดกั้นไม่ให้ขายชิปในจีนถือเป็น ‘การสูญเสียครั้งใหญ่’ สำหรับบริษัท
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.67 บาท ณ วันที่ 10 กรกฎาคม 2568
ภาพ : Chesnot/Getty Images
อ้างอิง: