วอร์ซอ, โปแลนด์ – ท่ามกลางความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์และวิกฤตประชาธิปไตยที่แผ่ขยายไปทั่วโลก งานสัมมนาระดับโลก World Justice Forum 2025 ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ณ กรุงวอร์ซอ โดยเป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของนักคิด นักกฎหมาย นักกิจกรรมภาคประชาสังคม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนกว่า 600 คน จาก 87 ประเทศทั่วโลก ภารกิจคือการหาคำตอบให้กับโจทย์ที่ท้าทายที่สุดเรื่องหนึ่งในยุคนี้คือ จะร่วมกัน ‘พลิกแนวโน้มภาวะถดถอยของหลักนิติธรรม (Rule of Law) ในระดับโลก’ ท่ามกลางบริบทของการขยายตัวของอำนาจนิยมได้อย่างไร
เวทีนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเสวนาทางวิชาการ แต่คือความพยายามที่จะสร้างแนวทางปฏิบัติเพื่อส่งเสริม ‘ระบบนิเวศของหลักนิติธรรม’ (Rule of Law Ecosystem) และแสวงหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะนำไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง
The Economic Case for Justice: เมื่อความยุติธรรมคือความจำเป็นเชิงกลยุทธ์
หนึ่งในสาระสำคัญที่ทรงพลังที่สุดมาจาก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งเปลี่ยนมุมมองต่อหลักนิติธรรมจากเรื่องทางศีลธรรมให้กลายเป็นความจำเป็นเชิงรูปธรรม แมรี เบธ กูดแมน รองเลขาธิการ OECD กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “การลงทุนในหลักนิติธรรมไม่ใช่แค่เรื่องของหลักการประชาธิปไตย แต่คือ ความจำเป็นเชิงกลยุทธ์ทั้งด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ”
เธอย้ำว่า สถาบันยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพคือหัวใจของเศรษฐกิจที่ทำงานได้ดี ช่วยลดความไม่แน่นอนทางกฎหมาย ลดต้นทุนในการทำธุรกรรม และสร้างความคาดการณ์ได้ที่ภาคธุรกิจต้องการเพื่อการเติบโต ลงทุน และสร้างนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ซึ่งเป็นธุรกิจกว่า 90% ทั่วโลก และมักจะเป็นกลุ่มที่เปราะบางต่อความไร้ประสิทธิภาพของระบบยุติธรรม
ข้อมูลจาก White Paper ของ OECD ที่จัดทำร่วมกับ World Justice Project ในปี 2019 ซึ่งเธอกล่าวถึง ได้ตอกย้ำประเด็นนี้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ที่น่าตกใจว่า ปัญหาทางกฎหมายที่ไม่ได้รับการแก้ไขสามารถสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ได้ตั้งแต่ 0.5% ถึง 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นี่คือ ‘ราคาที่น่าตกใจของการนิ่งเฉย’ และเป็นข้อพิสูจน์เชิงเศรษฐศาสตร์ว่าเหตุใดการลงทุนในระบบยุติธรรมที่เข้าถึงได้และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนจึงไม่ใช่ต้นทุน แต่คือผลตอบแทนที่คุ้มค่า
แนวทางแก้ไขของ OECD คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ จากเดิมที่เน้นสถาบันเป็นตัวตั้ง ไปสู่ ‘กระบวนการยุติธรรมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง’ (People-Centered Justice) โดยมีเครื่องมือสำคัญคือ ‘ข้อเสนอแนะของ OECD ว่าด้วยการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม’ ปี 2023 ซึ่งเป็นเหมือนแผนที่นำทางให้รัฐบาลและภาคประชาสังคมออกแบบบริการด้านความยุติธรรมที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้โดยใช้ข้อมูลและหลักฐานเป็นตัวนำ
แมรี เบธ กูดแมน รองเลขาธิการ OECD
โปแลนด์ ณ ทางแยก: บทเรียนราคาแพง
ไม่มีที่ใดจะเหมาะสมไปกว่ากรุงวอร์ซอในการเป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งนี้ โปแลนด์เปรียบเสมือนห้องทดลองที่มีชีวิตของทั้งการเสื่อมถอยและการฟื้นฟูหลักนิติธรรม อดัม บอดนาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของโปแลนด์ กล่าวเปิดใจในฐานะเจ้าภาพว่า “ผมคิดว่าโปแลนด์เป็นสถานที่ที่ดีในการจัดงาน ไม่เพียงเพราะประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อคุณค่าของเรา แต่ยังเป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราต้องทนทุกข์จากปัญหาด้านหลักนิติธรรมที่แตกต่างกันไป”
เขาเล่าถึงวิกฤตตลอด 8 ปีที่ผ่านมาว่าซับซ้อนและลึกซึ้ง คือ “การรื้อถอนความเป็นอิสระของสถาบันต่างๆ การโจมตีความเป็นอิสระของตุลาการ และการสร้างแรงกดดันต่อผู้พิพากษา อัยการ ผู้นำภาคประชาสังคม และทนายความ” แต่จากซากปรักหักพังนั้นเองที่โปแลนด์ได้เรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งกลับคืนมา
พลังของภาคประชาสังคม: บอดนาร์ยอมรับว่า “มีหลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าแม้แต่พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ยังไม่ได้ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของคุณค่าต่างๆ มากเท่ากับองค์กรภาคประชาสังคมที่มุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ” พวกเขาทำงานทั้งในระดับห้องพิจารณาคดี ไปจนถึงการจัดประท้วงบนท้องถนน
ความเป็นปึกแผ่นข้ามพรมแดน: เขายกตัวอย่างเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เรียกว่า ‘March of 10,000 Gowns’ ซึ่งผู้พิพากษาจากทั่วสหภาพยุโรปและนอก EU เดินทางมายังวอร์ซอ สวมเสื้อคลุมตุลาการเพื่อเดินขบวนประท้วง แสดงพลังสนับสนุนความเป็นอิสระของตุลาการในโปแลนด์ เป็นสัญลักษณ์ว่าการต่อสู้เพื่อหลักนิติธรรมไม่ใช่เรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่ง
ความจำเป็นของการศึกษาภาคพลเมือง: บอดนาร์กล่าวว่า “เราเสียเวลากว่า 20 ปีหลังปี ’89 เพราะเราคิดว่าประชาธิปไตยเป็นของตาย” แต่ความจริงปรากฏว่าคนรุ่นใหม่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพื่อให้เข้าใจว่าหลักการเหล่านี้สำคัญต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร ขณะนี้โปแลนด์กำลังบรรจุวิชา ‘การศึกษาภาคพลเมือง’ เข้าไปในหลักสูตรมัธยมศึกษาอีกครั้ง
อดัม บอดนาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมของโปแลนด์
สมรภูมิแห่งความจริง: สื่อมวลชนในแนวหน้าของสงครามดิจิทัล
สุนทรพจน์ที่ส่งแรงกระเพื่อมและปลุกความรู้สึกของผู้ฟังได้มากที่สุด มาจาก มาเรีย เรสซา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2021 เธอคือเสียงของผู้ที่ยืนหยัดในแนวหน้าของสมรภูมิข้อมูลข่าวสาร
เธอเริ่มต้นด้วยคำประกาศที่น่าสะพรึงว่า “แพลตฟอร์มเทคโนโลยีได้กลายเป็นอาวุธทำลายล้างประชาธิปไตย” และชี้ให้เห็นว่า “คำโกหกที่เจือปนด้วยความกลัว ความโกรธ และความเกลียดชัง จะยิ่งแพร่กระจายได้เร็วยิ่งขึ้น” นี่คือการบิดเบือนพฤติกรรมมนุษย์ในระดับเซลล์ของประชาธิปไตย
เรสซาใช้ประสบการณ์ตรงของเธอเป็น ‘บทเรียนเตือนใจ’ เมื่อเธอ และสื่อ Rappler ที่เธอร่วมก่อตั้ง ต้องเผชิญกับคดีอาญา 11 คดีในฟิลิปปินส์ เพียงเพราะทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างซื่อตรง เธอเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลัง และส่งต่อข้อความแห่งความหวังไปยังผู้ฟังทุกคนว่า “การต่อสู้เพื่อข้อเท็จจริง คือการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ การต่อสู้เพื่อความจริง คือการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม”
เรสซากล่าวปิดท้ายด้วยถ้อยคำที่ทรงพลังที่สุดว่า “เราไม่อาจเป็นกลางได้เมื่อคุณค่าที่เรายึดมั่นกำลังถูกโจมตี เราต้องเลือกความกล้าหาญมากกว่าความสะดวกสบาย เลือกข้อเท็จจริงมากกว่าเรื่องแต่ง และเลือกความหวังมากกว่าความกลัว” พร้อมเรียกร้องให้การประชุมครั้งนี้เป็นดั่ง “การลุกฮือแห่งวอร์ซอ ไม่ใช่ด้วยอาวุธ แต่ด้วยถ้อยคำ ความคิด อารมณ์ และอุดมการณ์”
ท่ามกลางเสียงสะท้อนจากทั่วทุกมุมโลก ในฐานะผู้เขียนที่เดินทางมาร่วมสังเกตการณ์การประชุมตามคำเชิญของสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ซึ่งเป็นตัวแทนจากประเทศไทยในการสร้างเครือข่ายและระดมสมองบนเวทีโลก หนึ่งในเวทีที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือเวทีที่นำเสนอมุมมองจากภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยโดยตรง
มาเรีย เรสซา สื่อมวลชนเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2021
จากกรุงเทพฯ สู่วอร์ซอ: มุมมองจากไทยต่อความซื่อตรงสุจริตของตุลาการ
ในเวทีเสวนากลุ่มย่อยหัวข้อ Judicial Integrity: Challenges and Opportunities for Strengthening Transparency and Public Trust in Asia ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ได้นำเสนอมุมมองจากประเทศไทยที่น่าขบคิด
ศ. ดร.กิตติพงษ์ ย้ำว่า “แก่นแท้ของความซื่อตรงสุจริตของฝ่ายตุลาการ (Judicial Integrity) เป็นมากกว่าการต่อต้านคอร์รัปชัน คือการรับประกันว่าศาลจะทำงานด้วยความเป็นอิสระ เป็นธรรม และโปร่งใส” เพราะหาก “ปราศจากความไว้วางใจจากสาธารณชน แม้แต่สถาบันที่ออกแบบมาดีที่สุดก็ย่อมสูญเสียความชอบธรรม”
ศ. ดร.กิตติพงษ์ ชี้ว่า เมื่อหลักนิติธรรมสั่นคลอน “ผู้ที่ต้องทนทุกข์มากที่สุดคือกลุ่มคนชายขอบ คนยากจน ผู้ไร้อำนาจ และผู้ที่เข้าไม่ถึง” ในสังคมเปลี่ยนผ่าน ศาลและองค์กรอิสระอาจ “กลายเป็นสมรภูมิแห่งการแข่งขันทางการเมือง” ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างสถานการณ์ในประเทศไทย เช่น ‘อุปสรรคทางภาษา’ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคงเป็นกำแพงขวางกั้นประชาชนจากการมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ พร้อมนำเสนอแนวคิดริเริ่มอย่าง ‘Justice by Design’ (ความยุติธรรมโดยการออกแบบ) ซึ่งเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ‘การปฏิรูปมักเริ่มต้นจากการรับฟัง’ และได้มองไปถึงอนาคตที่ท้าทายจากยุคดิจิทัล ซึ่ง “อัลกอริทึมอาจเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ก็เสี่ยงที่จะฝังอคติลงไปด้วย”
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ)
ท่ามกลางภาพรวมของภาวะขาลงทางการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อหลักนิติธรรมในหลายประเทศทั่วโลก การประชุม World Justice Forum 2025 ได้จุดประกายแห่งความหวังที่สำคัญยิ่ง แม้สถานการณ์จะน่ากังวล แต่ยังได้เห็น ‘ความสามารถในการฟื้นตัว’ (resilience) ในหลายพื้นที่ ตั้งแต่การต่อสู้ในโปแลนด์ไปจนถึงการยืนหยัดของศาลในเคนยา การจะพลิกวิกฤตครั้งนี้ให้สำเร็จได้ต้องอาศัยพลังของทั้ง ‘ระบบนิเวศ’ ที่ทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องและสร้างความแข็งแกร่งให้หลักนิติธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมที่เป็นธรรมอย่างยั่งยืน