×

‘พิชัย’ เผย เจรจาภาษีการค้าสหรัฐฯ คืบหน้า เริ่มส่ง Proposal เบื้องต้นแล้ววันนี้ พร้อมระบุยังยึดในกรอบ 5 ข้อเสนอเดิม

21.06.2025
  • LOADING...
ภาษีการค้าสหรัฐฯ

การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ของไทยที่ใกล้ครบเส้นตายในวันที่ 8 กรกฎาคมนี้ เริ่มมีความคืบหน้า หลัง ‘พิชัย’ รมว.คลัง ออกมาระบุว่า วันนี้ได้เริ่มส่ง Proposal เบื้องต้นให้กับสหรัฐฯ แล้ว

 

วันนี้ (20 มิถุนายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ว่า ประเทศไทยได้มีการลงนามในข้อตกลงไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-Disclosure Agreement: NDA) กับสหรัฐฯ แล้ว ซึ่งหมายความว่าทั้งสองฝ่ายมีความประสงค์ที่จะเก็บรักษาข้อมูลการเจรจาเป็นความลับ ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นหรือวันเจรจาที่ชัดเจนได้

 

โดยวันนี้จะเป็นการเริ่มต้นกระบวนการส่งข้อเสนอเบื้องต้น (Proposal) ให้กับทางสหรัฐฯ ซึ่งยังคงยึดอยู่ในกรอบ Proposal ใน 5 ข้อเสนอเดิมที่เคยทำไว้แล้วก่อนหน้านี้

 

ทั้งนี้ 5 ข้อเสนอเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ของไทยมีดังนี้

 

  1. ลดดุลนำเข้าสินค้าเกษตร
  2. เพิ่มปริมาณนำเข้าพลังงานจากสหรัฐฯ
  3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า
  4. บังคับใช้กฎหมายสินค้าถิ่นกำเนิดอย่างเคร่งครัด
  5. ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ

 

พิชัยกล่าวว่า คาดว่าการเจรจาลักษณะนี้ไม่ได้จบลงง่ายๆ ซึ่งคล้ายในหลายประเทศที่เคยมีการเจรจาก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ และการขยายเวลาการเจรจาขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายสหรัฐฯ เป็นผู้พิจารณาหลัก

 

“เงื่อนไขใน NDA ที่เราเซ็นกับสหรัฐฯ ความหมายคือ สหรัฐฯ เขาค่อนข้างเข้มงวดในการเปิดเผยข้อมูล ไม่ต้องการให้เราเปิดเผยว่าเราจะเจรจาเรื่องอะไร หรือเจรจากันวันไหน แต่อนุญาตพูดว่าสิ่งที่ไทยจะทำเรื่องเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ จะเริ่มต้นส่ง Proposal ในวันนี้” พิชัย กล่าว

 

‘พิชัย’ มองตลาดหุ้นไทยลงเป็นโอกาสลงทุนในระยะยาว

 

พิชัย ชุณหวชิร ยอมรับว่า ปัจจุบันความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนได้จาก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

 

อย่างไรก็ตามล่าสุดมีการออกโครงการ Jump+ เป็นมาตรการจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และเพิ่มมูลค่าตลาดทุนไทยเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน โดยจะมีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางแก้ไขให้สาธารณชนได้รับทราบ

 

โดยโครงการ Jump+ ที่จะดำเนินการคล้ายกับที่เคยทำในเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งจะเน้นไปที่บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางที่อาจจะยังไม่มีบุคลากรหรือเงินทุนในการจ้างที่ปรึกษา ให้สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์และเปิดเผยต่อนักลงทุนได้ โดยมีหลักการสำคัญคือ การทบทวนผลประกอบการและสถานะทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงเข้าใจภาพเดียวกันและร่วมกันแก้ไขปัญหาหรือทำให้ธุรกิจดีขึ้น และที่สำคัญคือ ต้องเปิดเผยแผนงานและความคาดหวังเหล่านั้นให้นักลงทุนทราบ

 

พิชัยมองว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ขึ้นหรือลงในช่วงนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวลดลง

 

อย่างไรก็ตาม มีความเห็นว่าตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะตลาดหุ้น ยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน เมื่อดัชนีลดลงมาถึงจุดที่ค่อนข้างต่ำมากในปัจจุบัน แม้ผลประกอบการอาจจะลดลงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกไม่ดี แต่หากนักลงทุนเข้าใจและมองเห็นว่าบริษัทใดมีการบริหารจัดการที่ดีในระยะกลางถึงระยะยาว ก็อาจจะพิจารณาซื้อและถือลงทุนในระยะยาว โดยไม่ได้เน้นการซื้อขายรายวัน

 

ในส่วนของมาตรการเพิ่มเติมเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุน ได้มีการออกกฎเกณฑ์ของตลาดจำนวนมากเพื่อปิดช่องว่างระหว่างนักลงทุนรายใหญ่กับรายย่อย หรือนักลงทุนต่างประเทศกับนักลงทุนไทย ทั้งเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูล การซื้อขายหลักทรัพย์, Naked Short Selling, โปรแกรมการส่งคำสั่งซื้อขายด้วยความถี่สูง (High Frequency Trading: HFT) และการลงโทษผู้ที่กระทำผิด ซึ่งกฎหมายเหล่านี้คาดว่าจะสามารถผ่านได้ภายในเวลาอันสั้น

 

เปิดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ มุ่งแก้ปัญหาระดับโครงสร้าง

 

สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลวงเงิน 1.1 แสนล้านบาท รัฐบาลไม่ได้เน้นการกระตุ้นการบริโภคโดยตรง แต่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งเป็นปัญหาที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญเกือบ 10 เรื่องหลักๆ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปัญหาเรื่องน้ำสำหรับภาคการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม การปรับปรุงถนนหนทางและสถานที่ท่องเที่ยวให้มีความปลอดภัยและถูกสุขอนามัย

 

นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การแก้ไขกฎระเบียบและกฎหมายที่ล้าสมัย โดยเฉพาะกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้ที่ดินของต่างชาติ ซึ่งเป็นประเด็นที่พูดถึงกันมานาน รวมถึงปัญหาด้านพลังงาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการกระตุ้นในระยะสั้นที่อาจส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อการจ้างงาน แต่ไม่เห็นผลทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน

 

มั่นใจงบประมาณปี 2569 ผ่านฉลุย การเมืองไม่กระทบตลาดทุน

 

ส่วนความคืบหน้าในการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและตลาดทุนไทย มีความมั่นใจว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาและอนุมัติงบประมาณทราบดีว่างบประมาณมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ จึงเชื่อว่าการพิจารณาจะผ่านพ้นไปด้วยดี

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามพิชัยว่า เสถียรภาพทางการเมืองที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดทุนนั้น ซึ่งพิชัยขอไม่ตอบคำถามในประเด็นนี้ โดยกล่าวเพียงว่า หน้าที่ของตนคือการเพิ่มความมั่นใจในการลงทุน และเป็นเรื่องที่ผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงควรเป็นผู้ตอบ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising