แหล่งข่าวทางการทูต 3 รายให้ข้อมูลกับรอยเตอร์สว่า สตีฟ วิตคอฟฟ์ ผู้แทนพิเศษด้านตะวันออกกลางได้พูดคุยทางโทรศัพท์โดยตรงกับ อับบาส อารักชี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิหร่าน หลายครั้งตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายนเป็นต้นมา ซึ่งเป็นวันที่อิสราเอลเริ่มโจมตีอิหร่านภายใต้ปฏิบัติการ ‘สิงโตผงาด’ (Rising Lion) โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งคือความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะหาทางออกทางการทูตเพื่อยุติความรุนแรงที่กำลังลุกลาม
หนึ่งในนักการทูตเผยว่า อารักชีแจ้งชัดว่า อิหร่านจะไม่กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาใดๆ หากอิสราเอลยังคงโจมตี และย้ำว่า “อิหร่านพร้อมยืดหยุ่นในประเด็นนิวเคลียร์ หากสหรัฐฯ กดดันให้อิสราเอลยุติการทิ้งระเบิด”
เจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคอีกคนหนึ่งเปิดเผยว่า การพูดคุยรอบแรกในสัปดาห์นี้เกิดขึ้นจากฝั่งวอชิงตันเป็นฝ่ายริเริ่ม โดยมีการเสนอข้อเสนอล่าสุดที่พยายามคลี่คลายทางตันระหว่างสองฝ่าย ซึ่งหนึ่งในแนวคิดคือการจัดตั้งกลไกระดับภูมิภาค เพื่อควบคุมการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมนอกอิหร่าน แต่ยังเป็นข้อเสนอที่เตหะรานยังไม่ตอบรับ
การพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างอารักชีกับวิตคอฟฟ์ในสัปดาห์นี้ ถือเป็นการหารือโดยตรงที่มี “เนื้อหามากที่สุด” ตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ ทั้งสองมีเพียงการพบกันแบบไม่เป็นทางการหลังจบการเจรจาแบบอ้อมในโอมานและอิตาลี จนถึงขณะนี้ ทางการสหรัฐฯ และอิหร่านยังไม่ออกมาแสดงความเห็นต่อเนื้อหาการเจรจาครั้งล่าสุด
ส่วนสถานการณ์ขณะนี้ จวนจะครบ 1 สัปดาห์ของสงครามอิสราเอล–อิหร่าน ซึ่งทรัมป์ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้กองทัพสหรัฐฯ เข้าร่วมโดยตรงหรือไม่ โดยทำเนียบขาวระบุเมื่อวานนี้ (19 มิถุนายน) ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะตัดสินใจในประเด็นนี้ “ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า”
ขณะที่สำนักงานนายกรัฐมนตรีอิสราเอลและคณะผู้แทนอิหร่านประจำสหประชาชาติยังไม่ออกแถลงการณ์ใดๆ ต่อรายงานดังกล่าว ในขณะที่อิหร่านยังคงยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยังคงปฏิเสธเช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปราว 1 เดือนก่อน บนเวทีการประชุมการลงทุนที่ซาอุดีอาระเบีย ทรัมป์ ได้ออกคำเตือนที่หลายฝ่ายมองว่าสะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้
โดยทรัมป์กล่าวต่อผู้นำในภูมิภาค เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ว่า “เราจะไม่มีวันยอมให้อเมริกาและพันธมิตรถูกคุกคามด้วยการก่อการร้ายหรืออาวุธนิวเคลียร์”
แม้คำพูดนั้นไม่ได้รับความสนใจมากนักในเวลานั้น แต่จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 2 ราย ระบุว่า ขณะนั้นทรัมป์รับรู้แล้วว่าการโจมตีอิหร่านโดยอิสราเอล “อาจใกล้เข้ามา” และเป็นไปได้ว่าเขาอาจไม่สามารถหยุดยั้งได้
ภายในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้เริ่มจัดทำแผนรับมือฉุกเฉิน (contingency plans) เพื่อสนับสนุนอิสราเอล หากอิสราเอลเดินหน้าการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นเป้าหมายระยะยาวที่รัฐบาลเนทันยาฮูเฝ้าจับตา
แหล่งข่าวในโลกตะวันตกและยูเครนยังเปิดเผยว่า สหรัฐฯ ได้เคลื่อนย้ายยุทโธปกรณ์ป้องกันจำนวนมากออกจากยูเครน เพื่อเสริมกำลังในตะวันออกกลาง เตรียมพร้อมหากเกิดความขัดแย้งเต็มรูปแบบ
แม้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปฏิเสธให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ แต่รายงานฉบับนี้ได้อ้างอิงจากแหล่งข่าวกว่า 12 ราย ทั้งในรัฐบาล เจ้าหน้าที่การทูต และบุคคลใกล้ชิดทรัมป์ ซึ่งส่วนใหญ่ขอสงวนชื่อเพราะเป็นการพูดถึงการหารือลับ
สิ่งที่ภาพรวมสะท้อนคือ การเตรียมความพร้อมอย่างเงียบเชียบที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้หลายสัปดาห์ และการที่ทรัมป์เองต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการสนับสนุนการทูต กับการอนุญาตให้เกิดการปฏิบัติการทางทหาร โดยเฉพาะจากพันธมิตรที่เขา “ควบคุมไม่ได้เต็มที่”
แม้ทรัมป์จะพยายามแสดงบทบาท “ผู้ไกล่เกลี่ย” และส่งวิตคอฟฟ์ ไปยังภูมิภาคหลายครั้งเพื่อผลักดันข้อตกลงทางการทูต แต่ในอีกด้านหนึ่ง เขาก็ถูกกดดันอย่างหนักจากพันธมิตรทางการเมืองบางรายให้สนับสนุนอิสราเอลในการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ภาพ: Office of the Iranian Supreme Leader / WANA (West Asia News Agency) / Handout via Reuters
อ้างอิง: