ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงในวันพุธ (21 พฤษภาคม) ท่ามกลางแรงกดดันจากการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Treasury yields) ขณะที่นักลงทุนเริ่มวิตกว่าร่างงบประมาณฉบับใหม่ของสหรัฐฯ อาจยิ่งเพิ่มภาระต่อปัญหาการขาดดุลที่มีอยู่แล้วในระดับสูง
ดัชนี Dow Jones Industrial Average ร่วงลง 816.80 จุด หรือ 1.91% ปิดตลาดที่ 41,860.44 จุด ดัชนี S&P 500 ลดลง 1.61% ปิดตลาดที่ 5,844.61 จุด และดัชนี Nasdaq Composite ปรับลง 1.41% ปิดตลาดที่ 18,872.64 จุด
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 30 ปี ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 5.09% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2023 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำคัญของตลาดการเงิน อยู่ที่ 4.59%
การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรสะท้อนความกังวลของตลาดว่าการใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางการคลังมากขึ้น และอาจกระตุ้นให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงเป็นระยะเวลานานกว่าที่คาดไว้
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งได้บั่นทอนความเชื่อมั่นในสถานะ ‘สินทรัพย์ที่หลบภัย’ (safe-haven) ของหนี้สหรัฐฯ โดยในเดือนเมษายน พันธบัตรอายุ 10 ปีผันผวนอย่างมาก จากระดับต่ำกว่า 3.9% ขึ้นไปแตะเกิน 4.5% ภายในไม่กี่วัน ก่อนที่อัตราผลตอบแทนจะเริ่มลดลง หลังจาก Trump ประกาศเลื่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีบางส่วนออกไป
หุ้น Target ร่วงลง 5.2% หลังบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่แห่งนี้ปรับลดคาดการณ์ยอดขายตลอดทั้งปี โดยผู้บริหารชี้ว่าเกิดจากความไม่แน่นอนด้านภาษี และกระแสต่อต้านจากการที่บริษัทลดความพยายามด้านความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (DEI) หุ้น UnitedHealth เป็นตัวถ่วงดัชนี Dow Jones มากที่สุด โดยร่วงลง 5.8% หลังถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโดย HSBC หุ้นของ Nike ร่วงลงมากกว่า 4% ก่อนตลาดจะปิดทำการ หลังจากมีรายงานว่ารองเท้าผ้าใบที่มีราคาแพงที่สุดบางรุ่นกำลังจะมีราคาแพงขึ้นอีกเล็กน้อย
หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Apple และ Amazon ก็ปรับตัวลงเช่นกัน ท่ามกลางแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น ความเคลื่อนไหวในวันพุธเกิดขึ้นต่อเนื่องจากแรงเทขายในวันก่อนหน้า โดยดัชนี S&P 500 สิ้นสุดสถิติการปรับขึ้นติดต่อกัน 6 วัน ขณะที่ Nasdaq ปิดในแดนลบเป็นครั้งแรกในรอบ 3 วัน
ด้านบิทคอยน์ (BTC) พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ช่วงสั้นๆ หลังจากความคืบหน้าในกระบวนการออกกฎหมายควบคุม Stablecoin ในสหรัฐฯ จุดประกายความหวังว่าอุตสาหกรรมคริปโตจะได้รับความชัดเจนด้านกฎระเบียบภายใต้การนำของประธานาธิบดี Trump
สกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก บิทคอยน์ (Bitcoin) ปรับตัวขึ้นสูงสุดถึง 2.7% แตะระดับ 109,856 ดอลลาร์ ก่อนจะลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อแรงขายกลับมากดดัน หลังตลาดการเงินโดยรวมเริ่มอ่อนแรง โดยระดับสูงสุดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในช่วงใกล้วันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งของ Trump เมื่อวันที่ 20 มกราคม ขณะที่เหรียญคริปโตอื่น ๆ อย่าง Ether และ XRP ก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะย่อลงเช่นกัน
ตลาดคริปโตโดยรวมปรับตัวขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางแรงหนุนด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะการที่ร่างกฎหมายควบคุม Stablecoin ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการในวุฒิสภา หลังจากกลุ่มสมาชิกพรรคเดโมแครตบางส่วนถอนการคัดค้านเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะนี้ร่างกฎหมายซึ่งได้รับการสนับสนุนจากอุตสาหกรรม กำลังเข้าสู่การอภิปรายในที่ประชุมวุฒิสภา โดยกลุ่มสมาชิกจากทั้งสองพรรคหวังผลักดันให้ผ่านได้ภายในสัปดาห์นี้
ภาพ: Spencer Platt / Getty Images
อ้างอิง: