“ภูมิใจแต่ก็ผิดหวัง” คือความรู้สึกจากใจของ มิเกล อาร์เตตา บอสใหญ่อาร์เซนอลหลังจากที่ความหวังในการผ่านเข้าชิงชนะเลิศถ้วยใหญ่อย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกดับลงด้วยน้ำมือของปารีส แซงต์ แชร์กแมง
ความภูมิใจของอาร์เตตาเกิดจากการได้เห็นลูกทีมกันเนอร์สทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ที่จะพลิกสถานการณ์หลังจากที่พลาดท่าโดนแชมป์ลีกเมืองน้ำหอมบุกมาคว้าชัยชนะได้ถึงเอมิเรตส์สเตเดียมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
หากไม่ใช่ความเหนียวระดับกาวช้างของ จานลุยจิ ดอนนารุมมา ที่ช่วยชีวิตเปแอสเชไว้ในช่วงต้นของเกมแล้ว อาร์เซนอลอาจจะทำได้ก็ได้
ในอีกทางนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้อาร์เตตารู้สึกผิดหวังเช่นกัน เพราะถึงจะพยายามมากขนาดนี้แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ยังคงปราชัยให้แก่คู่แข่งที่สมควรได้เป็นผู้ชนะเช่นกัน
และนั่นนำมาซึ่งคำถามสำคัญ
อาร์เซนอลยังควรเชื่อมั่นในคำพูด “Trust the Process” อยู่อีกไหม?
ปฏิเสธไม่ได้ว่าฤดูกาล 2024/25 คือฤดูกาลที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งสำหรับอาร์เซนอลและเหล่ากูนเนอร์ส เพราะจากการเติบโตและสิ่งที่ได้เรียนรู้จาก 2 ฤดูกาลก่อนหน้า ซึ่งพวกเขาก้าวกระโดดสู่การเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์ (Title Contender) พ่ายแพ้แค่เพียงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เพียบพร้อมด้วยขุมกำลังและมากประสบการณ์กว่าทีมเดียว
เป้าหมายสำหรับอาร์เซนอลคือการคว้าแชมป์ให้ได้ โดยเฉพาะเป้าใหญ่อย่างแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ห่างหายมายาวนานถึง 21 ปี นับจากฤดูกาลประวัติศาสตร์ 2003/04 ที่สร้างตำนาน ‘The Invincibles’ จบฤดูกาลด้วยการไม่แพ้ใครเลยตลอด 38 นัด
แต่ปรากฏว่านอกจากจะพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกให้แก่ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นม้านอกสายตาด้วยซ้ำก่อนเปิดฤดูกาล พวกเขายังไม่ได้แชมป์รายการใดเลย ไม่ว่าจะเป็นรายการในประเทศอย่างเอฟเอคัพและลีกคัพ
รวมถึงแชมเปียนส์ลีกที่อุตส่าห์เข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศได้แล้วแต่ก็ไม่ผ่านด่านปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งปราบทีมจากอังกฤษได้ถึง 4 ทีมติดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลลา และอาร์เซนอล
แย่กว่านั้นคือการที่อาร์เซนอลจบฤดูกาลด้วยการไม่ได้แชมป์อะไรเลย ‘มือเปล่า’ เป็นฤดูกาลที่ 5 ติดต่อกัน นับจากแชมป์แรกและแชมป์สุดท้ายของอาร์เตตาที่คว้าเอฟเอคัพมาครองได้ในฤดูกาล 2019/20 ปีแรกที่รับตำแหน่งต่อจากอูไน เอเมรี
ระยะเวลาดังกล่าว รวมถึงเงินมากมายมหาศาลที่ใช้จ่ายในการซื้อผู้เล่นเสริมทีมถึง 800 ล้านปอนด์ ทำให้หากเปรียบเป็นสภาผู้แทนราษฎร อาร์เตตาก็เริ่มมีคนตั้งกระทู้ถามถึงความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่ง และสำหรับบางคนคำถามอาจไปไกลถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ตลอดช่วงระยะเวลาเกือบ 6 ฤดูกาลที่ผ่านมา สิ่งที่อาร์เตตาพยายามบอกกับทุกคนโดยเฉพาะในช่วงแรกคือขอให้ ‘เชื่อ’ ในสิ่งที่เขาทำ
โปรด “Trust the Process” เถอะ ถ้ากระบวนการดีผลลัพธ์ที่ดีจะตามมา
คำคำนี้ช่วยซื้อเวลาและโอกาสให้กับอาร์เตตาได้ ซึ่งครั้งหนึ่งกุนซือสายเลือดบาสก์เคยเกือบที่จะโดนปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแล้วด้วยซ้ำหลังจากที่ออกสตาร์ทฤดูกาล 2021/22 ได้อย่างเลวร้าย แต่เอดู ผู้อำนวยการสโมสรที่มองเห็นศักยภาพและเป็นคนให้โอกาสกุนซือที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจริงเลือกที่จะปกป้องและให้โอกาสต่อ
โชคดีสำหรับเอดูและอาร์เซนอลที่การเดิมพันนั้นได้ผล อาร์เซนอลมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว สิ่งที่อาร์เตตาทำโดยเฉพาะในแง่ของการปรับสภาพแวดล้อมในทีม ซึ่งรวมถึงการเขี่ยนักเตะซูเปอร์สตาร์ที่มีอิทธิพลและสร้างปัญหาต่อบรรยากาศของทีมอย่าง เมซุต โอซิล และ ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมยัง ออกไป และการเติมผู้เล่นคุณภาพดีเข้ามาเปลี่ยนแปลงอาร์เซนอลได้จริง
โดยเฉพาะในฤดูกาล 2022/23 ที่อาร์เซนอล ก้าวขึ้นมาเบียดลุ้นแชมป์กับแมนฯ ซิตี้ ได้อย่างน่าดูชมด้วยสไตล์การเล่นที่น่าดูน่าเชียร์ไม่น้อย แต่อ่อนประสบการณ์กว่าจึงสะดุดขาตัวเองล้มในช่วงโค้งสุดท้ายแบบเข้าใจได้
และในฤดูกาลที่แล้ว 2023/24 การตัดสินใจทุ่มเงินมหาศาลเพื่อซื้อผู้เล่นอย่าง เดแคลน ไรซ์ และ ไค ฮาเวิร์ตซ์ เข้ามาเสริมทีมคือการส่งสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมสำหรับการท้าชิงแชมป์เต็มตัว เพียงแต่ก็เป็นอีกครั้งที่การผิดพลาดแค่ไม่กี่นัด – โดยเฉพาะในเกมที่พบกับแมนฯ ซิตี้ ที่เลือกจะรักษาสกอร์จนได้แค่ผลเสมอ – ทำให้พวกเขาพลาดแชมป์ใหญ่อย่างพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง
ถึงอย่างนั้นเหล่ากองเชียร์กันเนอร์สและผู้รู้ในวงการฟุตบอลต่างมองว่าอาร์เซนอลอยู่ไม่ไกลแล้วจากวันแห่งความยิ่งใหญ่
เพียงแต่สุดท้ายตอนจบของฤดูกาลนี้ (2024/25) ก็ไม่ต่างอะไรจากที่ผ่านมา
หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำทางความรู้สึก
ความรู้สึกแย่นั้นเกิดจากความหวังและความคาดหวัง น้ำหนักของมันมีผลต่อหัวใจ ไม่เฉพาะกับแฟนบอล แต่รวมถึงผู้เล่นในทีมเองด้วย
อาร์เตตาเปิดเผยว่าหลังจบเกมกับเปแอสเช นักเตะอาร์เซนอลต่าง “ร่ำไห้ในห้องแต่งตัว” ด้วยเจ็บปวดจากการที่ทำไม่สำเร็จอีกแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องอันตราย ความผิดหวังอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกับแกนหลักของทีมอย่าง มาร์ติน โอเดอการ์ด, วิลเลียม ซาลิบา, กาเบรียล มาร์กัลเญส, บูกาโย ซากา, กาเบรียล มาร์ติเนลลี หรือแม้แต่เดแคลน ไรซ์ มีโอกาสส่งผลต่อความมั่นใจในการเล่น
อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาร์เซนอลจะจบฤดูกาลด้วยความผิดหวังอีกครั้ง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้พัฒนาขึ้น ยังมีเหตุผลดีๆ ที่มองเห็นและสามารถเก็บนำมาใช้เป็นบทเรียนได้
อย่างแรกอาร์เซนอลรู้แล้วว่า ‘ขุมกำลัง’ ของพวกเขาดีไม่พอ โดยเฉพาะเกมรุกที่ไม่มีศูนย์หน้าอาชีพที่สามารถฝากผีฝากไข้ในเรื่องของการผลิตสกอร์ได้อย่างจริงจัง
จริงอยู่ที่การขาด ไค ฮาเวิร์ตซ์ และ กาเบรียล เชซุส ที่บาดเจ็บในเวลาไล่เลี่ยกันและหนักถึงขั้นต้องปิดฉากฤดูกาลส่งผลต่อประสิทธิภาพในเกมรุกของทีมอย่างมหาศาล แต่หากย้อนกลับไปในช่วงก่อนหน้านั้นอาร์เซนอลเองก็ดูมีปัญหาในเรื่องของเกมรุกมาก่อนแล้ว
ไม่ต่างจากเกมกับเปแอสเช พวกเขามักจะสร้างโอกาสได้ในเกม แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโอกาสนั้นให้เป็นประตูได้ และเมื่อไม่มีประตูก็ไม่มีชัยชนะ
ให้ความเป็นธรรมกับอาร์เตตา พวกเขาเพิ่งจะลงทุนกับฮาเวิร์ตซ์มา 60 ล้านปอนด์มาได้แค่ปีเดียว โดยที่มองประโยชน์ของดาวเตะทีมชาติเยอรมนีเอาไว้มากกว่าแค่กองหน้าที่จะปักหลักรอในกรอบเขตโทษ เพราะให้ค่าในเรื่องของการเล่นเพรสซิงที่ยอดเยี่ยม ทำให้ไม่คิดที่จะเสริมทัพในช่วงปิดฤดูกาลที่แล้ว
แต่สำหรับช่วงปิดฤดูกาลนี้ อันเดรีย เบอร์ทา ผู้อำนวยการสโมสรคนใหม่ของอาร์เซนอลที่จะมาแทนที่เอดู จะจัดศูนย์หน้า ‘หมายเลข 9’ คนใหม่เข้ามาอย่างแน่นอน อยู่ที่จะเป็นใครเท่านั้น
อย่างไรก็ดีในฤดูกาลที่ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บมากล้น ซึ่งแตกต่างจากในฤดูกาลก่อนหน้าที่แทบไม่มีผู้เล่นบาดเจ็บเลย เป็นโอกาสของดาวรุ่งที่ก้าวขึ้นมาช่วยทีม โดยเฉพาะ ไมล์ ลูอิส สเคลลี และนาธาน เอ็นวาเนรี ที่ถือเป็น ‘วันเดอร์คิด’ คนใหม่ของทีม
ทั้งสองก้าวขึ้นมาประคับประคองช่วยทีมได้ดีพอสมควรเมื่อต้องลงสนาม ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจสำหรับอาร์เซนอล
ปัญหาอาการบาดเจ็บในฤดูกาลนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่อาร์เตตาจะได้เรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้งานผู้เล่นที่แสดงให้เห็นแล้วว่าการตะบี้ตะบันใช้งานแต่แกนหลักของทีมโดยไม่คิดโรเตชัน สามารถส่งผลร้ายในระยะยาวได้อย่างร้ายกาจ
ข้อดีคือผู้เล่นที่บาดเจ็บหนักในฤดูกาลนี้ไม่ว่าจะเป็น เบน ไวต์, กาเบรียล มาร์กัลเญส, กาเบรียล มาร์ติเนลลี, บูกาโย ซากา, มาร์ติน โอเดอการ์ด ไปจนถึงฮาเวิร์ตซ์ และเชซุส จะได้รับการระมัดระวังการใช้งานมากขึ้น รวมถึงมีเวลาในการทำร่างกายให้ฟิตสมบูรณ์สำหรับฤดูกาลหน้า
อาร์เซนอลที่ ‘ฟูลทีม’ ยังเป็นทีมที่แกร่งและน่าเกรงขามเสมอ
สุดท้ายสำหรับ ‘Process’ ที่อาร์เตตาและลูกทีมทุกคนได้เรียนรู้คือบทเรียนจากความผิดหวัง ไม่เฉพาะแค่ในพรีเมียร์ลีก แต่รวมถึงในแชมเปียนส์ลีกด้วย
ความเจ็บปวดจากการที่ ‘เข้าใกล้’ แต่ ‘ไปไม่ถึง’ ยากจะยอมรับและทำใจ
แต่ไม่มีใครที่เติบโตจากชัยชนะ สิ่งที่จะทำให้คนเติบโตคือความพ่ายแพ้และความผิดหวัง ซึ่งหากอาร์เตตาและลูกทีมปาดน้ำตา กลืนความเสียใจกลับลงคอไปและพยายามตั้งหน้าตั้งแต่ใหม่ในฤดูกาลหน้า ด้วยความมุ่งมั่นที่มากกว่าเดิม พยายามอย่าให้เกิดความผิดพลาดแบบเดิมอีก
อาร์เซนอลจะพบว่าพวกเขาอยู่ใกล้ความสำเร็จแค่นิดเดียว และนั่นคือเหตุผลที่ควรจะเชื่อมั่นในตัวของอาร์เตตา
‘Process’ ที่ว่านั้นมาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว เพียงแต่นี่คือช่วงที่ยากที่สุด และบางครั้งอาจต้องทำผิดอีกหลายครั้งถึงจะพบคำตอบที่ถูกต้อง