×

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ชี้ พันธบัตรรัฐบาลกำลังส่งสัญญาณว่า Fed ควรลดดอกเบี้ย

02.05.2025
  • LOADING...
Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสัญญาณจากตลาดพันธบัตรที่บ่งชี้ว่า Fed ควรลดอัตราดอกเบี้ย

Scott Bessent รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กล่าวว่าตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ กำลังส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ควรปรับลดอัตราดอกเบี้ย

 

Bessent ให้สัมภาษณ์กับ Fox Business ว่า “เรากำลังมองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของ Fed นั่นเป็นสัญญาณจากตลาดที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า Fed ควรลดดอกเบี้ย”

  

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีอยู่ที่ 3.697% ณ เวลา 05.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เทียบกับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของ Fed ที่ 4.216% โดยปัจจุบัน Fed กำหนดเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ในช่วงตั้งแต่ 4.25% ถึง 4.5%

 

ผู้กำหนดนโยบายของ Fed ได้แสดงท่าทีว่า ยังไม่พร้อมที่จะกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% และยังมีแรงกดดันต่อราคาที่อาจเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี Donald Trump ทั้งนี้  Fed มีกำหนดการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปในวันที่ 7 พฤษภาคม ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งหมดคาดว่า Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ตามเดิม

 

Trump ได้วิจารณ์ Jerome Powell ประธาน Fed อย่างต่อเนื่องจากการไม่ลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาเขากล่าวว่า “ผมรู้จักคนของ Fed ที่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำงานได้ดีนัก” แม้ประธานาธิบดี Trump จะยังคงให้ความสนใจกับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของ Fed ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยข้ามคืน แต่ Bessent ให้ความเห็นว่า ทั้งเขาและประธานาธิบดีกำลังมุ่งเป้าไปที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี โดยเล็งไปที่จุดนั้นบนเส้นอัตราผลตอบแทน

 

Bessent ชี้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีได้ลดลงนับตั้งแต่ Trump เข้ารับตำแหน่ง โดยอยู่ที่ประมาณ 4.21% ในวันพฤหัสบดี เทียบกับประมาณ 4.63% เมื่อวันที่ 20 มกราคม ขณะที่ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ Kevin Hassett กล่าวว่าการลดลงของอัตราดอกเบี้ย 10 ปีนั้น “ช่วยให้รัฐบาลกลางประหยัดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยได้อย่างมาก”

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในวันพฤหัสบดี หลังผลประกอบการรายไตรมาสที่แข็งแกร่งจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ 2 แห่งช่วยคลายความกังวลว่าความก้าวหน้าในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) อาจชะลอตัวลงท่ามกลางความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ

 

ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 83.60 จุด หรือ 0.21% ปิดตลาดที่ 40,752.96 จุด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.63% ปิดตลาดที่ 5,604.14 จุด ซึ่งยังคงต่ำกว่าระดับก่อนที่ประธานาธิบดี Trump จะประกาศมาตรการภาษีเมื่อต้นเดือนเมษายนเล็กน้อย 

 

ส่วนดัชนี Nasdaq Composite พุ่งขึ้น 1.52% ปิดตลาดที่ 17,710.74 จุด ลบล้างการร่วงลงที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 เมษายนได้ทั้งหมด ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งขึ้นจากรายงานที่ว่ารัฐบาล Trump ได้ติดต่อกับจีนเพื่อเริ่มการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร

 

Meta Platforms รายงานรายได้ไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดย Mark Zuckerberg ซีอีโอของ Meta กล่าวในการประชุมผลประกอบการเมื่อวันพุธว่า ธุรกิจของบริษัทอยู่ในสถานะที่พร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในภาพรวมเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี

 

Microsoft ก็รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ ซึ่งมีกำไรและรายได้สูงกว่าที่คาดไว้เช่นกัน โดยผู้บริหารของบริษัทระบุในการประชุมผลประกอบการวันพุธว่า พวกเขาคาดว่าการใช้จ่ายด้านการลงทุน (CapEx) จะเพิ่มขึ้นต่อไป เพื่อรองรับการขยายศูนย์ข้อมูล พร้อมเน้นย้ำว่า คลาวด์และ AI เป็นองค์ประกอบสำคัญในการช่วยให้ทุกธุรกิจเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเร่งการเติบโตของบริษัท

 

ผลประกอบการดังกล่าวส่งผลให้หุ้นของ Microsoft พุ่งขึ้น 7.6% ขณะที่หุ้นของ Meta เพิ่มขึ้น 4.2% กลุ่มเทคโนโลยีจึงทำผลตอบแทนได้โดดเด่นกว่าทุกกลุ่มในดัชนี S&P 500 โดยปรับตัวขึ้นมากกว่า 2% ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.5% ในวันพฤหัสบดี หลังจากที่ผู้นำด้านเทคโนโลยีรายใหญ่อย่าง Meta และ Microsoft ยืนยันแผนการลงทุนด้าน AI เชิงรุกอีกครั้ง

 

หลังจากตลาดปิด นักลงทุนต่างรอคอยผลประกอบการของบริษัท Apple Inc. เพื่อดูว่าบริษัทประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีอย่างไร อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Apple ปรับตัวลดลงในช่วงหลังตลาดปิด หลังยอดขายจากประเทศจีนลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในไตรมาสล่าสุด ซึ่งบดบังผลประกอบการที่แข็งแกร่งในส่วนอื่น ๆ ของบริษัทผู้ผลิต iPhone รายนี้

 

ขณะเดียวกัน Amazon.com Inc. ก็เปิดเผยประมาณการรายได้จากการดำเนินงานที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้หลังตลาดปิด ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Amazon ร่วงลงในการซื้อขายนอกเวลาทำการ

 

หุ้นของ Tesla ทรงตัวในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ปฏิเสธรายงานที่ว่าคณะกรรมการบริหารของบริษัทกำลังมองหาผู้ที่จะมาแทนที่ Elon Musk ซึ่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลังจากยอดขายและกำไรของบริษัทลดลงอย่างมาก โดยรายได้และกำไรสุทธิในไตรมาสแรกต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ Elon ยอมรับว่าการมีส่วนร่วมของเขากับรัฐบาลทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ Tesla

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising