หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ เดินหน้าบังคับเก็บภาษีเรือสินค้าจีนที่จอดท่าเรือสหรัฐฯ ภายใต้แผนของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) โดยเรือทุกลำที่สร้างและเป็นเจ้าของโดยจีน ที่มาจอดเทียบท่าที่ท่าเรือในสหรัฐฯ จะถูกเก็บค่าธรรมเนียมตามปริมาณสินค้าที่ขนส่ง
นับเป็นการคุกคามเส้นทางขนส่งสินค้าทั่วโลกและยกระดับสงครามการค้าระหว่าง 2 ชาติเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งที่ผ่านมาจีนผลิตเรือมากถึง 75-80% ของกองเรือ ในช่วงการบริหารของไบเดน
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการ บริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่น่าจับตามอง กรณี ‘อุตสาหกรรมผลิตเรือคอนเทนเนอร์ ถึงเป็นอีกตลาดที่สหรัฐฯ อยากได้คืน’ ผ่าน Facebook ส่วนตัว
ดร.กอบศักดิ์ ระบุว่า USTR สหรัฐฯ มองว่า “เรือและการขนส่งทางเรือเป็นหัวใจสำคัญของความมั่นคงของสหรัฐฯ ตลอดจนต่อการขนส่งสินค้าสหรัฐฯ ต้องลดความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเลที่มีต่อ Supply Chain ต้องช่วยกระตุ้นให้ผู้ประกอบการสหรัฐฯ กลับมาผลิตเรืออีกครั้ง”
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องออกนโยบายเก็บภาษีการเข้าท่าฉบับใหม่ออกมา มุ่งเป้าไปที่เรือคอนเทนเนอร์ที่ผลิตโดยจีน และที่บริหารโดยบริษัทจีน เพื่อลดความยิ่งใหญ่ทางตลาด (Market Dominance) ของจีนในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ กังวลใจมากเรื่องนี้ ก็เพราะจีนมีส่วนแบ่งตลาดการผลิตเรือคอนเทนเนอร์ประมาณ 50% ของโลกในแต่ละปี
ส่วนสหรัฐฯ เคยมีส่วนแบ่งประมาณ 5% ก่อนปี ปัจจุบันเหลือประมาณ 0.2%เคยผลิตมากกว่า 70 ลำต่อปี เป็นเบอร์ 1 ของโลก ล่าสุดเหลือน้อยกว่า 5 ลำต่อปี เป็นเบอร์ 19 ของโลก ขณะที่จีนผลิตประมาณ 1,700 ลำต่อปี
รายละเอียดของค่า Fees ที่จะคิดกับเรือต่างๆ ที่มาเทียบท่าสหรัฐฯ หลังจากช่วง 180 วันผ่านไปแล้ว ที่จะทยอยเพิ่มขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า
จะเห็นว่าจาก 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อ Net Ton เป็น 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อ Net Ton สำหรับเรือที่ผลิตโดยจีน ที่เป็นของบริษัทเดินเรือจีน
จาก 18 ดอลลาร์สหรัฐต่อ Net Ton เป็น 33 ดอลลาร์สหรัฐต่อ Net Ton สำหรับเรือผลิตโดยจีนที่เป็นของบริษัทเดินเรือประเทศอื่นๆ
แม้รายละเอียดการคิดค่าธรรมเนียมค่อนข้างซับซ้อน แต่เป้าหมายชัดเจน จีนและเรือที่จีนผลิต รวมทั้งอยากให้สหรัฐฯ กลับมาสร้างเรือแบบนี้อีกครั้ง
ดร.กอบศักดิ์ ระบุอีกว่า เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ยาก ยากที่ประเทศหนึ่งจะผลิตทุกอย่างให้กับตนเอง เพราะตอนนี้ สหรัฐฯ อยากผลิตทุกอย่าง รถยนต์ ชิป เหล็ก ยา
ปกติแล้วในทางเศรษฐกิจ ประเทศหนึ่งจะผลิตสินค้าบางกลุ่ม แล้วอาศัยการค้าในการแลกสินค้าอย่างอื่น เหมือนกับคนที่เก่งในด้านใดด้านหนึ่ง แล้วนำรายได้ที่ได้มา ซื้อสินค้าที่คนอื่นผลิตมาอุปโภคบริโภค
ถ้าคนคนหนึ่งต้องผลิตทุกอย่างใช้เอง ชีวิตก็จะไม่ง่าย ต้นทุนต่างๆ ก็จะมาก
นอกจากนี้การที่สหรัฐฯ ลดการผลิตด้านเรือเดินทะเลลงมาเรื่อยๆ คงมาจากต้นทุนทางเศรษฐกิจที่แข่งขันไม่ได้ บางส่วนมาจากต้นทุนที่แพงขึ้นในสหรัฐฯ บางส่วนอาจจะมาจากการสนับสนุนในการผลิตของประเทศอื่นๆ ทำให้ ซื้อมาใช้คุ้มที่สุดการจะย้อนทวนเข็มนาฬิกาเรื่องนี้ คงไม่ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มีเพียง 4 ปี ที่จะต้องสะสมความชำนาญอีกรอบ ลงทุนสร้างและผลิต โดยเรือใหญ่ 1 ลำ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปีในการต่อ
ดร.กอบศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตในตอนท้ายว่า สหรัฐฯ จะสำเร็จในเรื่องนี้หรือไม่
เพราะท้ายที่สุดคงต้องเลือกเอาเพียงบางอุตสาหกรรมที่จำเป็นจริงๆ ไว้ในสหรัฐฯ และบางส่วน ไว้ที่ประเทศพันธมิตรที่สหรัฐเชื่อใจ หรือไม่ อย่างไร
ภาพ: Gary Hershorn / Getty images
อ้างอิง:
- https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1218803756269638&id=100044200761105
- https://www.cnbc.com/2025/04/17/trump-administration-announces-fees-on-chinese-ships-docking-at-us-ports.html?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR7D-iNPTKw0Fw_nMURCfcA6qyw2KqYvjHGMs8ZySfW8EG9rzVvu3N9AKeW24A_aem_uWlHQXDHz1LyZiM2K4-cVw