วันนี้ (19 มีนาคม) พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวภายหลังเข้าเยี่ยมชายชาวอุยกูร์ 1 ใน 40 คน ที่ถูกส่งกลับในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ว่า รู้สึกถึงการตัดสินใจที่คำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของเขา เพราะอยู่ประเทศไทยมา 10 ปี ต้องอยู่ในห้องกักเหมือนเขาถูกทรมาน และทราบว่ารัฐบาลที่ผ่านมาอาจจะไม่กล้าตัดสินใจ เชื่อว่าการตัดสินใจของรัฐบาลนี้ทำบนพื้นฐานว่าเขาจะไม่ต้องถูกทรมาน ไม่ถูกบังคับให้สูญหาย ประกอบกับรัฐบาลจีนได้ให้การรับรอง
พ.ต.อ. ทวีระบุด้วยว่า วันนี้มาเยี่ยมเยือนได้เห็นเขาอยู่กับครอบครัว เห็นภาษากาย สีหน้าแววตา ของครอบครัว แสดงออกถึงความตื้นตันใจ ที่วันนี้เกิดขึ้น และเขายังได้ขอบคุณรัฐบาลทั้งสองประเทศที่ดูแล
ส่วนผลลัพธ์ในวันนี้จะนำไปใช้อุทธรณ์กับการกดดันจากประเทศที่สามหรือไม่ พ.ต.อ.ระบุว่า วันนี้ประเทศที่สาม เขาเป็นประเทศใหญ่ เขาจะพูดอย่างไร เราเอาความจริงดีกว่า เชื่อว่ารัฐบาลทั้งไทยและจีนมีความจริงใจ และเราไม่ได้ทำแค่กับคนจีน จะชาติใดก็ได้ถ้าอยู่ในสภาพที่อยู่แล้วไทยเป็นฝ่ายผิดกฎหมายหรือทรมานเขา เราสามารถส่งเขากลับไปปลอดภัยและมีชีวิตที่ดีขึ้นก็ต้องทำ
ส่วนที่หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการจัดฉากนั้น พ.ต.อ. ทวีระบุว่า วันนี้ทุกคนก็มาพร้อมกันหมด การทำให้คนตายแล้วเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ เราก็ถือว่าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว พร้อมย้ำว่า ตอนตัดสินใจคิดว่าเราทำถูกกฎหมาย และถูกหลักจริยธรรม เพราะการปฏิบัติของรัฐบาลคือ ยึดกฎหมาย วิชาการ และจริยธรรม และคำนึงถึงคุณค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และวันนี้เราก็ได้ดูแลศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเขาแล้ว และยืนยันว่าเป็นไปตามหลักสากล
1 ใน 40 ชาวอุยกูร์ร่ำไห้ดีใจกลับสู่อ้อมอกครอบครัว
ขณะที่ 1 ใน 40 ชาวอุยกูร์ที่ได้รับการปล่อยตัวกลับประเทศจีน เปิดเผยว่า กลับมาแล้วได้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนเปลี่ยนไปมาก มีถนนหนทางที่ดี มีการพัฒนาที่ถูกต้อง ที่ผ่านมาตนไปหลงเชื่อคนชั่วจึงทำผิด แต่ตอนนี้กลับมาแล้วก็อยากดูแลครอบครัว รวมถึงจะไปสอบขับรถด้วย
“ตอนนี้ชีวิตก็เป็นปกติแล้ว อยากแต่งงานมีครอบครัวของตัวเอง หวังว่าเพื่อนคนไทยจะเคารพเสรีภาพของผม ถ่ายรูป สัมภาษณ์ได้ ถ่ายวิดีโอได้ แต่ขอร้องให้ปิดหน้า ผมไม่อยากให้ชีวิตของผม และในอนาคตมีคนอื่นมารบกวน”
ยืนยันจีนดูแลดี-มอบบ้าน-เงินหมื่นหยวน-ไม่ลงโทษ
จากนั้น พ.ต.อ. ทวี ได้สอบถามว่า บ้านหลังนี้เป็นของตัวเองหรือรัฐบาลจัดให้ ด้านแม่ของ1 ใน 40 ชาวอุยกูร์ระบุว่า เมื่อก่อนมีบ้านอยู่แต่รัฐบาลได้เวนคืนพื้นที่ แล้วคืนเป็นอพาร์ตเมนต์ 2 ชุดให้แทน ส่วนบ้านนี้เราใช้เงินที่รัฐบาลให้ 10,000 หยวน มาปรับปรุง จึงมีบ้านพัก 3 ชุด
พ.ต.อ. ทวี ได้ถามต่อว่า ระหว่างที่ถูกกักอยู่ใน ตม.ไทย กับได้กลับมาบ้าน แบบไหนดีกว่า ชายชาวอุยกูร์ กล่าวว่า 10 กว่าปีที่ไม่ได้อยู่บ้าน รู้สึกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ไม่เคยนึกว่าจะมีวันไหนได้กลับบ้าน ก็ต้องขอบคุณรัฐบาลจีน รัฐบาลไทย ที่ส่งกลับมา ช่วงที่ตนลงจากเครื่องบินรู้สึกประทับใจมาก ชีวิตหลังจากนี้ก็อยากตั้งใจทำงานดูแลครอบครัว
“10 กว่าปีที่อยู่ข้างนอก มีคนบอกว่าถ้ากลับประเทศจีนจะถูกขังเข้าคุก แต่จริงๆ กลับมาแล้วก็ได้อยู่กับครอบครัวทุกวัน ตอนนี้รู้สึกสบายใจ และรัฐบาลก็ช่วยตรวจสุขภาพให้ด้วย ลงทะเบียนทำบัตรประชาชน และมีประกันชีวิตให้ รู้สึกว่าชีวิตของผมกำลังฟื้นฟูปกติแล้ว อีกทั้งรัฐบาลท้องถิ่นก็ไม่ได้ลงโทษผมและพ่อแม่ ตอนนี้ครอบครัวค่อยๆ มีเงินขึ้น น้องสาวกับน้องชายก็ได้เรียนหนังสือ ซึ่งมีความสุข แม้ว่าผมจะหลบหนีข้ามประเทศออกไป แต่ตอนนี้รัฐบาลก็ให้น้ำใจต่อผมและครอบครัว ผมรู้สึกขอบคุณรัฐบาล พวกเรารู้สึกตื่นเต้น แล้วก็เสียใจ แล้วก็ขอบคุณทุกคน ที่ใช้เวลาเดินทางไกลมาหาพวกเรา”
มีเสรีภาพ 100% ไม่บังคับนับถือศาสนา
ขณะที่แม่ของชายชาวอุยกูร์ เปิดเผยด้วยว่า เธอมีลูก 6 คน รัฐบาลไม่ได้ห้ามมีลูกเยอะ และเรายังมีอิสระในการนับถือศาสนา รัฐบาลไม่ได้บังคับ
พ.ต.อ. ทวี ยังได้ถามต่อว่า คนทั่วโลกยังเข้าใจผิดว่า คุณกลับมาบ้านจะทุกข์ทรมานทางจิตใจ หรือถูกบีบบังคับทำร้ายร่างกายจิตใจมีหรือไม่ ด้านชายชาวอุยกูร์ ระบุว่า ช่วงที่อยู่ข้างนอกมีคนบอกว่ากลับมาจะไม่มีเสรีภาพ หรือถูกขังคุกตลอดชีวิต รู้สึกเครียดแต่ตอนนี้กลับมาแล้ว มีเสรีภาพมากขึ้น 100% ไม่มีการบังคับอะไรเลย ได้ทานข้าวที่แม่ทำให้ทุกวัน และรัฐบาลท้องถิ่นก็ช่วยดูแลครอบครัว รู้สึกขอโทษกับครอบครัวและรัฐบาลท้องถิ่น เพราะเขาดูแลเราเต็มที่ นี่คือความจริงใจ
พ.ต.อ. ทวี จึงได้กล่าวให้กำลังใจ พร้อมยืนยันว่า รัฐบาลไทยก็จริงใจที่คำนึงถึงสิทธิ หากเขามีความสุขเราก็มีความสุข และเราจะดูแลให้
จากนั้น คณะของพ.ต.อ. ทวี ได้เดินทางต่ออีก 1 ชั่วโมงกว่า เพื่อมาเจอกับชายชาวอุยกูร์คนที่ 2 เพื่อสอบถามความเป็นอยู่ ซึ่งชายคนนี้ยอมรับว่า ตอนแรกกลัว แต่พอมาแล้วยืนยันมีเสรีภาพ 100% และทางการยังส่งตนไปโรงพยาบาลตรวจโรค ตอนนี้ก็อยู่กับครอบครัวทุกวัน รู้สึกสบายใจ รัฐบาลช่วยสร้างบ้านใหม่รวมทั้งหมดเสียค่าใช้จ่าย 22,000 หยวน ตอนนี้ชีวิตเป็นอยู่ดีกว่าแต่ก่อนมาก ช่วยพ่อแม่ทำนา และในอนาคตอยากเป็นช่างซ่อมรถยนต์
ชายอุยกูร์ทักทายเจ้าหน้าที่ ตม.ไทย
พ.ต.อ. ทวี ได้สอบถามว่ารู้จักใครในคณะที่มาเยี่ยมในวันนี้บ้าง ชายชาวอุยกูร์ได้ชี้ไปที่เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ของไทย พร้อมกับเรียกว่า “สารวัตร” และทั้งสองก็ได้จับมือทักทายกัน โดยเจ้าหน้าที่ ตม.ไทย กล่าวแสดงความยินดีที่ได้กลับบ้านเกิด
ด้านบิดาของชายชาวอุยกูร์ระบุว่า รู้สึกสบายใจ ไม่ได้เจอลูกมาเป็น 10 ปี ตอนแรกคิดว่าทั้งชีวิตจะไม่ได้เจอแล้ว แต่ตอนนี้รัฐบาลก็ให้ลูกกลับบ้านแล้ว
ขณะที่ พ.ต.อ. ทวียืนยันว่า รัฐบาลสองประเทศ มีความห่วงใย คำนึงถึงสิทธิไม่อยากให้ตัวเขาตกเป็นเครื่องมือถูกกักแบบไม่มีอนาคต เมื่อประเมินแล้วว่าถ้าส่งกลับมาแล้วปลอดภัย จึงได้ดำเนินการร่วมกัน และจากนี้จะคอยติดตามความเป็นอยู่เป็นระยะ
ภูมิธรรมขอโทษกักตัวนาน 10 ปี
ด้านภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะสื่อมวลชน เดินทางมาเยี่ยมชายชาวอุยกูร์รายหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยว่า เดินทางกลับมา 20 กว่าวันแล้ว มีความสุขดี พร้อมพาภูมิธรรมและคณะเข้าเยี่ยมชมบ้านพักซึ่งปัจจุบันรัฐบาลจีนได้มาสร้างที่อยู่ให้ใหม่
ภูมิธรรมได้สอบถามถึงการตัดสินใจเดินทางไปยังประเทศไทย ชายชาวอุยกูร์ระบุว่า มีผู้ชักชวนมาบอกว่า ถ้าเดินทางไปต่างประเทศแล้วชีวิตจะดีกว่าอยู่ที่นี่ แต่พอไปแล้วรู้สึกเสียใจ แต่เมื่อกลับมาแล้วปลอดภัยทุกคนต่างรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน
ชายชาวอุยกูร์ยังได้โชว์บัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนบ้าน ที่ได้รับจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ พร้อมระบุว่าตนจะได้รับเงินชดเชยเงินเดือนในช่วงที่ผ่านมาด้วย และทำให้รู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
จีนรับรองความปลอดภัยแต่มีบางคนไม่ต้องการให้กลับ
ด้านภูมิธรรมกล่าวว่า ขอแสดงความยินดีที่ได้กลับบ้าน ย้ำไทยต้องปฏิบัติตามกฎหมายจึงมีการกักตัว และขอโทษที่คุมตัวนานถึง 11 ปี เนื่องจากไม่มีประเทศใดทำหนังสือยืนยันขอรับตัวไป ขอโทษอีกครั้งหากได้รับความยากลำบากในระหว่างที่ถูกคุมตัว
ทั้งนี้จีนยืนยันต้องการให้พลเมืองของเขาเดินทางกลับและรับรองความปลอดภัย แม้จะมีบางคนในโลกและในไทยแสดงความกังวลไม่เห็นด้วยกับการส่งตัวกลับมา แต่คำยืนยันจากรัฐบาลจีน ทำให้ไทยมั่นใจ และการมาครั้งนี้เพราะอยากมาเยี่ยมเยียน เมื่อมาเห็นท่านมีความสุขทุกคนก็สบายใจ
ไม่เคยเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ
ต่อมาภูมิธรรมและคณะ ได้มาเยี่ยมเยียนบ้านพักของชายชาวอุยกูอีก 1 คน ซึ่งเปิดเผยว่าถูกหลอกให้เดินทางออกนอกประเทศและถูกข่มขู่ว่ากลับมาจะมีอันตรายถูกจำคุก หรืออาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจึงไม่กล้าเดินทางกลับ แต่เมื่อกลับมาแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งที่ถูกข่มขู่ ไม่เป็นความจริง
ภูมิธรรมยังได้สอบถามถึงจดหมายที่ออกมาเป็นข่าว 3 ฉบับ เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากไม่ประสงค์เดินทางกลับจีนนั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ชายคนดังกล่าว ยืนยันว่า ไม่เคยเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ แค่หวังว่า อยากจะกลับบ้านเร็วๆ และยืนยันว่า ในช่วง 10 ปี ไม่มีประเทศที่ 3 หรือหน่วยงานไหน เข้าไปให้ความช่วยเหลือ หรือขอรับตัวนอกจากทางการจีน
ทั้งนี้ ตลอดการเยี่ยมเยียนครอบครัวชาวอุยกูร์ต่างมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส บางคนถึงกับหลั่งน้ำตา