“เราชอบคุณในชุดสีเทา”
นี่คือคำแซวเชิงหยอกล้อของแฟนบอลเซาแธมป์ตันที่ยังคงถูกพูดถึง แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 30 ปี กับเหตุการณ์ที่พวกเขาเคยเปิดบ้านรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 1996 และเอาชนะไปได้ 3-1 แต่ไฮไลต์ของเกมนี้ไม่ได้อยู่ที่ผลการแข่งขัน
มันอยู่ที่สีเสื้อของแมนฯ ยูไนเต็ด ในวันนั้น และการตัดสินใจที่ไม่มีใครคาดคิดของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเรื่องราวสุดแปลกของพรีเมียร์ลีก
เกมนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 เมษายน 1996 ซึ่งเป็น นัดที่ 36 ของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนั้น แมนฯ ยูไนเต็ด กำลังขับเคี่ยวแย่งแชมป์กับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด อย่างเข้มข้น และมีคิวบุกไปเยือนเซาแธมป์ตันที่สนามเดลล์ (รังเหย้าเก่าของเซาแธมป์ตัน)
โดยวันนั้นพวกเขาเลือกใส่ชุดเยือนสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นชุดแข่งที่ Umbro ออกแบบมาให้ใช้ในฤดูกาล 1995/96 แต่กลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา เพราะในครึ่งแรกพวกเขาตามหลังเซาแธมป์ตันถึง 0-3 ขณะที่นักเตะของยูไนเต็ดเล่นกันผิดฟอร์มไปจากทีมที่กำลังลุ้นแชมป์
และนี่คือจุดเริ่มต้นของตำนานการเปลี่ยนชุดแข่งของยูไนเต็ด
ทันทีที่นักเตะกลับเข้ามาในห้องแต่งตัว เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิด เพราะอย่างแรกที่เขาทำคือไม่ได้บรีฟแผนการเล่นให้กับลูกทีม แต่เป็นการบอกทีมสตาฟฟ์ไปสั่งให้นักเตะเปลี่ยนชุดแข่งจากสีเทามาเป็น ‘สีน้ำเงิน-ขาว’ หนึ่งในชุดเยือนอีกตัวของฤดูกาลนั้น
แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เปลี่ยนเสื้อใหม่กลับมาลงสนามพร้อมฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้น และสามารถยิงคืน 1 ประตูจาก ไรอัน กิ๊กส์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังแพ้ไป 1-3
หลังจบเกม เซอร์อเล็กซ์ออกมาให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนชุด เนื่องจากนักเตะมองไม่เห็นกันเองในสนาม เพราะสีเทามันกลมกลืนไปกับแฟนบอลบนอัฒจันทร์ ทำให้การผ่านบอลและเคลื่อนที่ยากกว่าปกติ
และจากสถิติพบว่า แมนฯ ยูไนเต็ด แพ้ไปถึง 4 จาก 6 เกม เมื่อสวมเสื้อสีเทาในฤดูกาลดังกล่าว นั่นทำให้ชุดเยือนสีเทาถูกมองว่าเป็น ‘เสื้ออาถรรพ์’ ไปโดยปริยาย
แต่อย่างไรก็ดี พวกเขายังสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 1995/96 ได้สำเร็จ โดยเอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ไป 4 คะแนน เมื่อจบฤดูกาล
ขณะที่ แกรี เนวิลล์ อดีตกองหลังแมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ลงสนามวันนั้น เล่าถึงเบื้องหลังการตัดสินใจของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยบอกว่า มันอาจจะฟังดูงี่เง่ามาก แต่นี่คือทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับฟุตบอล มันมีหลักวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง
เพราะเซอร์อเล็กซ์เคยได้รับคำแนะนำจาก ศาสตราจารย์ เกล สตีเฟนสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาจากมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล ซึ่งเคยเป็นโค้ชด้านสายตาของทีม โดยอธิบายว่า ความสามารถในการมองเห็นของนักเตะมีผลต่อฟอร์มการเล่นมากกว่าที่คิด
นั่นทำให้เฟอร์กี้มีความกังวลเกี่ยวกับเสื้อสีเทามาตั้งแต่ก่อนเกม เนื่องจากได้รับข้อมูลมาว่า สีเทาเป็นสีที่แย่ที่สุดสำหรับการมองเห็นผู้เล่นในสนามเมื่อมีแฟนบอลอยู่บนอัฒจันทร์ ทำให้นักเตะมองหากันได้ยากขึ้น และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเล่น
ส่วนทางฝั่ง แมตต์ เลอ ทิสซิเอร์ ตำนานของทีมนักบุญ ผู้ยิงประตูในเกมนั้น ยอมรับว่าเขาเองก็ไม่ได้สังเกตว่าผู้เล่นแมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนสีเสื้อ จนกระทั่งนักข่าวเข้ามาถามความเห็นหลังจบเกมว่าคิดอย่างไรที่พวกเขาเปลี่ยนชุดในช่วงพักครึ่ง
“ผมคิดว่ามันเป็นข้อแก้ตัวที่แย่ที่สุดที่ผมเคยได้ยินจากทีมที่เพิ่งโดนถล่ม พวกเขาเล่นแย่ในครึ่งแรก ผมแน่ใจว่าแกรี่ก็เห็นด้วย ว่านั่นไม่ใช่ฟอร์มการเล่นที่ดีที่สุดของพวกเขาในรอบหลายปี พูดตามตรง ทีมเราค่อนข้างจะย่ำแย่ในครึ่งหลัง แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเกี่ยวกับเสื้อสีเทารึเปล่า” เลอ ทิสซิเอร์ เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
หลังจากเหตุการณ์นี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่เคยใช้เสื้อสีเทาอีกเลยในยุคที่เซอร์อเล็กซ์คุมทีม และกลายเป็นหนึ่งใน ‘ชุดต้องคำสาป’ ที่แฟนบอลปีศาจแดงจดจำได้จนถึงวันนี้
อ้างอิง: