×

ตลาดหุ้นอเมริกากำลังเข้าสู่ทศวรรษที่หายไป?

18.03.2025
  • LOADING...
us-stock-lost-decade

ตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง การเมือง เศรษฐกิจ และตลาดหุ้นอเมริกา ดูเหมือนว่าจะปั่นป่วนไม่น้อย ทิศทางของอเมริกานั้นดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนไม่แน่ใจว่าตลาดหุ้นอเมริกาในระยะยาวจะไปทางไหน หุ้นจะขึ้นหรือลง น่าลงทุนหรือไม่ ผมลองศึกษาข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์โดยอิงกับเหตุการณ์สำคัญและดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนที่ดีที่สุด โดยการมองย้อนหลังไปประมาณ 75 ปี ซึ่งเป็นยุคที่อเมริกา ‘เปิดประเทศ’ และกลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นของโลกในทุกด้าน ทั้งการทหาร เศรษฐกิจ การค้าและการเงินของโลก

 

เริ่มในปี 1949 ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงโดยที่อเมริกาซึ่งเป็นฝ่ายผู้ชนะสงครามได้กลายเป็นผู้นำของประเทศ ‘โลกเสรี’ อย่างเด็ดขาด และมีพละกำลังทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็งมากเพราะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรง อเมริกาได้เข้าไปช่วยประเทศโดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกให้ฟื้นตัวจากสงครามโดยโครงการ ‘Marshall Plan’ ที่ใช้เงินมหาศาล

 

ด้วยความคิดที่ว่า ถ้าไม่ช่วยประเทศเหล่านั้นก็จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนและโกรธแค้น และในที่สุดอาจจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ตามอย่างโซเวียต สรุปก็คืออเมริกาที่เคย ‘อยู่เฉยๆ และไม่ยุ่งกับใคร’ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นอเมริกาที่เข้าไป ‘ยุ่ง’ หรือช่วยประเทศอื่นๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะในฝ่ายของโลกเสรี เหตุผลก็เพื่อที่จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ โลกเข้าสู่ช่วง ‘สงครามเย็น’ ที่ไม่รบกันด้วยอาวุธ แต่รบกันด้วยเศรษฐกิจ การค้า และอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย

 

‘โลกเสรี’ เกิดความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมาก เยอรมันตะวันตกเติบโตมากในยุโรป ญี่ปุ่นเติบโตมหาศาลในเอเชีย กลายเป็นเศรษฐกิจอันดับ 3 และ 2 ของโลกอย่างรวดเร็ว การค้าและเศรษฐกิจในกลุ่มโลกเสรี ซึ่งรวมถึงประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในฝ่ายโลกเสรีเพิ่มขึ้นมหาศาลจากอานิสงส์สำคัญจากการช่วยเหลือของอเมริกา และนั่นก็ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตตามไปด้วยอย่างยาวนาน ซึ่งสะท้อนออกมาจากดัชนี S&P 500

 

ในช่วงเดือนพฤษภาคม 1949 ที่ดัชนีอยู่ในช่วง ‘ต่ำสุด’ ที่ประมาณ 190 จุด มันปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ และมีช่วงปรับตัวลงน้อยมากจนถึงเดือนพฤศจิกายน 1968 เป็นเวลาถึง 19.5 ปี ดัชนีขึ้นไปถึง 977 จุด หรือเป็นการเพิ่มขึ้นปีละ 8.8% โดยเฉลี่ยแบบทบต้น และนี่ก็คือยุคของความมั่งคั่งหลังสงครามโลกของอเมริกา ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องยาวนานที่สุด

 

หลังจากปี 1968 สงครามเย็นก็เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ เฉพาะอย่างยิ่งเกิดสงครามเวียดนามที่อเมริกาเข้าไปร่วมรบ ‘เต็มสตรีม’ ซึ่งต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ในตะวันออกกลางก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มประเทศอาหรับ ซึ่งทำให้เกิดวิกฤตน้ำมัน เพราะโอเปก องค์กรผู้ผลิตน้ำมันใหญ่ที่สุดของโลกของฝ่ายอาหรับงดส่งน้ำมันให้อเมริกาเพื่อเป็นการประท้วง

 

ผลก็คือน้ำมันแพงขึ้นมหาศาลอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และสิ่งที่ตามมาก็คือเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์เป็นตัวเลขสองหลักในปี 1974-1975 และกลายเป็น ‘Stagflation’ คือเงินเฟ้อแต่คนตกงาน เศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งทำให้คนเดือดร้อนกันมาก เกิดการประท้วงใหญ่ในอเมริกา คนต่อต้านสงครามและเกิดปรากฏการณ์ของคนที่ต่อต้านสังคมที่เรียกว่าพวก ‘ฮิปปี้’ ที่ไว้ผมยาว ไม่ทำงาน ทำตัวสกปรก เสพกัญชาและยาเสพติดอื่นๆ

 

ดัชนี S&P 500 ตกจาก 977 จุด ในปี 1968 เป็นประมาณ 350 จุด ในเดือนกรกฎาคม 1982 หรือตกลงมา 7.24% แบบทบต้น ในช่วงเวลา 13.7 ปี กลายเป็นช่วง ‘ทศวรรษที่หายไป’ และในช่วงปี 1973-1974 ตลาดหุ้นก็เกิด ‘วิกฤต’ ด้วย คือตกจาก 886 จุด เหลือเพียง 400 จุด หรือเป็นการตกลงมา 55% ในเวลา 2 ปี

 

นับจากปี 1982 ‘ยุคใหม่’ ก็เริ่มขึ้น อเมริกาได้ประธานาธิบดีคือ โรนัลด์ เรแกน ที่ใช้นโยบายเศรษฐกิจที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า ‘เรแกนโนมิกส์’ ที่เน้นลดภาษี ส่งเสริมการค้าเสรี ลดบทบาทของรัฐในด้านเศรษฐกิจ เพิ่มงบประมาณทหารเพื่อต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ และก็เริ่มชนะ จีนเริ่มปรับตัวเป็น ‘ทุนนิยม’ หลังจากที่เศรษฐกิจไปไม่ไหวภายใต้การนำของเติ้งเสี่ยวผิงที่เริ่มเข้ามามีอำนาจแทนเหมาเจ๋อต๋งที่เสียชีวิตไป เติ้งประกาศว่า “แมวขาวหรือแมวดำก็ไม่สำคัญถ้ามันจับหนูได้”

 

ที่สำคัญก็คือคอมมิวนิสต์โซเวียตเองก็ล่มสลายลงในปี 1991 โลกกำลังเป็น ‘Globalized’ หรือเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก โดยมีอเมริกาเป็น ‘ผู้นำหนึ่งเดียว’ ทุกประเทศเลิกทำสงครามแต่ทำการค้ากับทุกประเทศ และทำผ่านการสื่อสารและการจัดการยุคใหม่ที่มีคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเป็นตัวนำ

 

ดัชนี S&P พุ่งขึ้นแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จาก 350 จุด ในปี 1982 กลายเป็นจุดสูงสุด 2,803 จุด ในเดือนสิงหาคม 2000 คิดเป็นการปรับตัวเพิ่มปีละ 12.2% แบบทบต้น เป็นเวลายาวนานถึง 18.1 ปี โดยที่แทบไม่มีช่วงเวลาสะดุด ถือว่าเป็นยุคทองของตลาดหุ้นอเมริกา

 

แต่เวลาดีสุดยอดก็ดับลงในชั่ว ‘ข้ามคืน’ อาจจะเพราะมันร้อนแรงเกินไปโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม ‘ไฮเทค’ หรือเฉพาะอย่างยิ่งก็คือกลุ่ม ‘Dot-Com’ ที่ ‘กำลังเปลี่ยนโลก’ ที่ราคาหุ้น ‘ร้อนแรงเป็นไฟ’ ดัชนี NASDAQ ปรับตัวขึ้น 800% ในเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งในที่สุดฟองสบู่ก็แตก และนั่นทำให้ดัชนี S&P หลังเดือนสิงหาคม 2000 ตกลงมาแบบวิกฤตเหลือ 1,437 จุด หรือลดลงมาประมาณ 49% ในเวลา 2 ปี และก็เกิดวิกฤตอีกครั้งในปี 2007 ที่ดัชนีตกลงมาจาก 2,366 จุด เหลือเพียง 1,107 จุด ในเดือนมีนาคม 2009 หรือลดลง 53% จากวิกฤตซับไพรม์

 

โดยรวมแล้วช่วงตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2000 ถึงกุมภาพันธ์ 2009 เป็นเวลา 8.5 ปี ดัชนี S&P 500 ตกจาก 2,803 จุด เหลือ 1,107 จุด หรือลดลงปีละ 10.37% ต่อปีแบบทบต้น โดยที่ในระหว่างนั้นเกิดวิกฤตที่ทำให้ดัชนีตกลงมาประมาณ 50% ถึง 2 ครั้ง และนับเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายสำหรับนักลงทุนมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ และเหตุผลส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะดัชนีหุ้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไปหลังจากที่ดัชนีดีต่อเนื่องมานานมาก

 

จากปี 2009 เป็นต้นมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2024 เป็นเวลาถึง 15.8 ปี เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโตได้ดีและมั่นคงมาก การเติบโตนั้นนำโดยหุ้นไฮเทคและดิจิทัลที่ปฏิวัติการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน เทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เริ่มปรากฏตัวขึ้นมานั้นพัฒนาขึ้นถึงจุดที่ถูกนำมาใช้งานได้จริง เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเองก็เริ่มออกสู่ท้องถนน ไม่ต้องพูดถึงพลังงานสะอาดที่เกิดขึ้นแพร่หลายและจะเปลี่ยนโลกในอนาคตไปสู่ความมั่นคงอย่างยั่งยืน ในขณะที่ดอกเบี้ยอยู่ในอัตราที่ต่ำเป็นประวัติการณ์อย่างยาวนาน

 

ทั้งหมดนั้นทำให้ดัชนี S&P ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งมาตลอดจาก 1,107 จุด เป็น 6,093 จุด ที่เป็นจุดสูงสุดและให้ผลตอบแทนทบต้นปีละถึง 11.44% ต่อปี ติดต่อกันถึง 15.8 ปี โดยที่มีช่วงหุ้นตกน้อยมาก ยกเว้นก็เฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ดัชนีตกลงมาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน และช่วงหลังโควิดจบที่มีการปรับตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วช่วงเวลาถึงเกือบ 16 ปีหลังนี้ต้องถือว่าเป็นยุคทองของหุ้นจริงๆ

 

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ ดัชนี S&P ตกลงมาแล้วประมาณ 7-8% ในขณะที่ดัชนี NASDAQ ลดลงมาประมาณ 11-12% ในเวลาแค่ 2-3 เดือน หลายคนอาจจะบอกว่ามันน่าจะเป็นการปรับตัวปกติหรือ ‘Correction’ แต่ผมเองมองว่านี่อาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ ‘ภาพใหญ่’ ที่ดัชนีจะเปลี่ยนทิศเป็นการตกลงมาระยะยาวอาจจะเป็น 10 ปี

 

เพราะประเด็นก็คืออเมริกาต่อจากนี้อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นสู่ตำแหน่งในวาระที่สอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายสำคัญที่ดูเหมือนว่าจะคำนึงถึงอเมริกาก่อน โดยการประกาศ ‘สงครามการค้า’ กับแทบจะทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งนั่นก็จะทำให้อเมริกาต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งอาจจะกระทบกับเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกามาก

 

การเจริญเติบโตจะช้าลง เช่นเดียวกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจจะพ่ายแพ้แก่จีน การเป็นผู้นำที่สร้างผลดีและอำนาจให้แก่อเมริกามายาวนานอาจจะถดถอยลง แทนที่จะยิ่งใหญ่อย่างที่คิดก็กลายเป็นการด้อยลงเพราะไม่มีประเทศอื่นเป็น ‘ผู้ตาม’ อย่างที่เคย

 

นั่นก็จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องยาวนานและอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติเริ่มปรับตัวลดลงและจะลดลงเรื่อยๆ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และอาจจะยาวเป็น 10 ปีจนกลายเป็น ‘Lost Decade’ หรือเป็นทศวรรษที่หายไปของการลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา

 

แน่นอนว่าผมมีโอกาสผิดสูง โดยเฉพาะในเรื่องของเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แต่ถ้ามองจากสถิติที่ผมกล่าว โอกาสที่จะเกิดก็มีไม่น้อย อย่างไรก็ตาม เราคงไม่รู้จนกว่าจะถึงปี 2034 ว่าดัชนี S&P 500 จะอยู่ที่ไหน ในระหว่างนี้ก็ควรจะต้องระวังบ้างเหมือนกัน เพราะสตอรีที่จะเกิด Lost Decade นั้นมีน้ำหนักพอสมควร

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising