การกลับมาของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ทำให้สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งภายในสหรัฐฯ และในระดับโลก ‘มีความผันผวนอย่างมาก’ โดยเหตุผลสำคัญมาจาก ‘ทรัมป์เอฟเฟกต์’ (Trump Effect) ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านวิธีคิดและมุมมองของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่ง ‘ยากจะคาดเดา’ และ ‘มีความไม่แน่นอนสูงมาก’
นี่คือตัวอย่างผลกระทบสำคัญจากนโยบายทรัมป์ 2.0 หลังบริหารประเทศมาเพียง 8 สัปดาห์
หุ้นตกฮวบ เพราะนโยบายภาษีทรัมป์?
ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างหนักในรอบหลายสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่านโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ อาจทำให้ ‘เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย’ หลังทรัมป์ยอมรับขณะให้สัมภาษณ์กับ Fox News ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ใน ‘ช่วงเปลี่ยนผ่าน’ และเขาปฏิเสธที่จะคาดเดาในประเด็นนี้ พร้อมเน้นย้ำว่า เรากำลังทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และกำลังนำความมั่งคั่งกลับมาสู่สหรัฐฯ
ที่ผ่านมานโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์สะท้อน ‘ความไม่แน่นอน’ ของรัฐบาลชุดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะนโยบายภาษีต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างแคนาดาและเม็กซิโก ซึ่งทรัมป์เคยประกาศขึ้นภาษี 25% มาแล้ว 1 รอบในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ แล้วก็เลื่อนออกไป 1 เดือน พอครบกำหนดและมีผลบังคับใช้ได้เพียง 2 วัน ทรัมป์ก็ประกาศเลื่อนขึ้นภาษีนำเข้าออกไปอีก 1 เดือน สำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าอเมริกาเหนือ (USMCA)
ขณะที่สินค้าบางชนิด เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ก็ยังคงเดินหน้าเก็บภาษี 25% ต่อไป โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้แคนาดา จีน ยุโรป และอีกหลายประเทศที่ได้รับผลกระทบต่างประกาศเตรียมมาตรการตอบโต้การขึ้นภาษีของทรัมป์ ส่วนทรัมป์เองก็ประกาศเตรียมใช้มาตรการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) วันที่ 2 เมษายนนี้ เพื่อแก้ไข ‘การค้าที่ไม่เป็นธรรม’ ในสายตาของสหรัฐฯ
ท่าทีเหล่านี้ทำให้หลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ จะยิ่งบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่และตึงเครียดยิ่งขึ้น อีกทั้งรอยร้าวที่กำลังก่อตัวขึ้นในรากฐานของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นการเลิกจ้างที่กำลังเพิ่มมากขึ้น การจ้างงานที่กำลังชะลอตัว รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่กำลังลดลง และอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นักวิเคราะห์มองว่า ‘ความไม่แน่นอน’ ของนโยบายด้านเศรษฐกิจของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ปัญหาเหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น และส่งผลต่อตลาดการลงทุนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สงครามยูเครนกับสันติภาพถาวรที่ยังอยู่อีกไกล?
ท่าทีที่ ‘ไม่แน่นอน’ ของทรัมป์ ยังถูกจับตามองในบทบาท ‘ตัวกลาง’ ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ดำเนินมานานกว่า 3 ปี หลังทรัมป์ปรับท่าทีที่ดูเป็นมิตรต่อรัสเซียเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อนหน้าภายใต้การนำของ โจ ไบเดน
สหรัฐฯ เดินหน้าประสานรอยร้าว โดยส่งทีมผู้แทนระดับสูงไปพูดคุยหารือกับผู้แทนของทั้งรัสเซียและยูเครนที่ซาอุดีอาระเบีย เพื่อหาทางออกให้กับสันติภาพในยูเครน โดยผลลัพธ์สำคัญจากที่ประชุมสหรัฐฯ-ยูเครนครั้งล่าสุดคือยูเครนได้ตอบรับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในการหยุดยิงกับรัสเซียเป็นเวลา 30 วัน ซึ่งข้อตกลงหยุดยิงนี้จะเริ่มต้นขึ้นในทันทีที่รัสเซียตอบตกลง อีกทั้งสหรัฐฯ ยังประกาศจะกลับมาแบ่งปันข่าวกรองและให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ยูเครนอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ทรัมป์เองก็เคยเปิดเผยว่า เขากำลังพิจารณา ‘มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหญ่’ และมาตรการภาษีศุลกากรต่อรัสเซียอย่างจริงจัง จนกว่ารัสเซียจะบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงสันติภาพกับยูเครน หากมีความจำเป็น เนื่องจากรัสเซียยังคงเดินหน้าโจมตียูเครนอย่างต่อเนื่อง โดยการขู่คว่ำบาตรรัสเซีย ก็สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของแนวทางการดำเนินนโยบายของทรัมป์ต่อรัสเซียเช่นเดียวกัน
รศ. ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมืองระหว่างประเทศ แสดงความเห็นว่า แม้ผลลัพธ์จากที่ประชุมสันติภาพที่ซาอุดีอาระเบียจะเป็น ‘ก้าวสำคัญ’ ที่อาจนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ แต่ในส่วนที่เป็น ‘ข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืนและถาวร’ ในสงครามครั้งนี้นั้นอาจจะยังไม่จบลงโดยง่าย เพราะยังมีรายละเอียดอีกมากที่ทั้งรัสเซียและยูเครนยังเห็นไม่ตรงกัน และยากที่จะยอมรับได้
โดยความไม่แน่นอนและคาดเดาได้ยากถือเป็นเสน่ห์และบุคลิกเฉพาะตัวของทรัมป์ เพื่อเพิ่มโอกาสและความได้เปรียบในการเจรจา ส่วนประเด็นที่ทรัมป์ออกมาขู่รัสเซียนั้น อาจารย์มองว่า สิ่งนี้เป็นเพียง ‘การเล่นละครของทรัมป์’ เพื่อสร้างความสมมาตรในความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หลังทรัมป์ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เอนเอียงเข้าข้างรัสเซียมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้ว ถ้ารัสเซียยังไม่ตอบรับข้อตกลงและทำให้กระบวนการสันติภาพล่าช้าออกไปอีก ทรัมป์อาจดำเนินมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหญ่ตามคำขู่ของทรัมป์ก็ได้ แต่อาจเป็นไปในลักษณะที่ ‘จำกัดขอบเขตความเสียหาย’
อีลอน มัสก์ กับความปั่นป่วนในรัฐบาลสหรัฐฯ
อีกหนึ่งประเด็นที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากการตัดสินใจของทรัมป์คือ บทบาทของ อีลอน มัสก์ ในการควบคุม ‘หน่วยงานดูแลประสิทธิภาพรัฐบาล’ (DOGE) ที่มักจะทำให้เขาต้องปะทะกับคนในรัฐบาลและคนในหน่วยงานรัฐได้ง่าย และบ่อยครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกัน
สื่อหลายสำนักในสหรัฐฯ เช่น The New York Times รายงานว่า สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างมัสก์และสมาชิกในคณะรัฐมนตรีเริ่มร้อนระอุมากยิ่งขึ้น โดยมัสก์กล่าวหา มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ว่าเขา ‘เก่งแต่ในทีวี’ และ ‘ล้มเหลว’ ในการลดจำนวนบุคลากรในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งรูบิโอโต้แย้งว่าสิ่งที่มัสก์พูดไม่เป็นความจริง กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ มีบุคลากรกว่า 1,500 คนที่สมัครเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนด (Buyouts) ซึ่งรูบิโอมองว่าคนกลุ่มนี้ควรถูกนับรวมในผลลัพธ์ของการปฏิรูปด้วย
นอกจากนี้มัสก์ยังมีความเห็นไม่ตรงกับสมาชิกรัฐบาลสหรัฐฯ อีกหลายคน เช่น ฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีคมนาคม จนทรัมป์จะต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยความบาดหมางดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ก็ยังกำชับให้คณะรัฐมนตรีของเขาทำงานร่วมกับ DOGE อย่างเต็มที่ เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของภาครัฐต่อไป
อ. ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า รอยร้าวที่เกิดขึ้นระหว่างมัสก์กับสมาชิกในรัฐบาลสหรัฐฯ สะท้อนให้เห็นแล้วว่า ระบอบการเมืองที่มีอยู่ของสหรัฐฯ ตอนนี้ ‘กำลังสั่นคลอน’ และอาจจำเป็นต้องถอยกลับไปตั้งหลัก
การออกนโยบายต่างๆ ที่ ‘กลับไปกลับมา’ อาจถูกคนท้วงติง อีกทั้งระบบการบริหารและการทำงานเช่นนี้อาจอยู่ได้ไม่นาน และสุดท้าย ‘แรงต่อต้าน’ อาจจะวกกลับมาที่ตัวทรัมป์เอง
อีกสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวได้อย่างชัดเจนคือการที่บริษัทเอกชนพยายามควบคุมภาครัฐ ลึกๆ แล้วภาคเอกชนอาจจะทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว อย่างในกรณีของมัสก์ บริษัทสตาร์ลิงก์ของเขาพบว่ามีการทำงานที่ดูลื่นไหลอย่างมากตั้งแต่มัสก์มีบทบาทสำคัญในรัฐบาลทรัมป์ 2.0
อาจารย์ยังกล่าวอีกว่า แรงปะทะที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนการชนกันระหว่าง ‘ภาครัฐ’ อย่าง มาร์โก รูบิโอ ที่ผ่านครรลองของระบอบประชาธิปไตย กับ ‘ภาคเอกชน’ อย่าง อีลอน มัสก์ ที่เป็นใครก็ไม่รู้แต่มาได้อำนาจ และเข้ามาทำให้ระบบการทำงานของรูบิโอ ‘ไม่เป็นไปตามระบบที่เคยเป็น’ ของสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลทรัมป์ 2.0 ในอนาคต
ส่วนประเด็นที่ว่าไทยจะรับมือและปรับตัวกับโลกที่ผันผวนจากทรัมป์เอฟเฟกต์นี้อย่างไร อาจารย์มองว่า ไทยจะต้องติดตามสถานการณ์โลกอย่างใกล้ชิด ไทยต้องผูกสัมพันธ์กับพันธมิตรใหม่ๆ เช่น มหาอำนาจขนาดกลาง (Middle Power) และมหาอำนาจอิสระ (Independent Power) อีกทั้งความเป็นปึกแผ่นในอาเซียนจะมีส่วนช่วยให้ไทยก้าวผ่านมรสุมของความไม่แน่นอนเหล่านี้ได้
แฟ้มภาพ: Reuters, Shutterstock
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2025/03/10/economy/us-economy-trump/index.html
- https://www.reuters.com/world/trump-says-he-is-considering-putting-banking-sanctions-tariffs-russia-2025-03-07/
- https://www.bbc.com/news/articles/cpde687nqjno
- https://www.nytimes.com/2025/03/07/us/politics/trump-musk-doge-power.html
- https://www.theguardian.com/business/2025/mar/13/sp-500-wall-street-trump-tariffs