ในยุคที่เศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์ผันแปรอย่างรวดเร็ว การเสริมสร้างความเชื่อมโยงในเอเชียจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับความท้าทายนานัปการ ประเทศไทยควรก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลักดันวิสัยทัศน์นี้ โดยมองอนาคตผ่านเลนส์ของการร่วมมือและการประสานพลัง
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นายกสภาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในพิธีเปิดงาน Asia Forward Series ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดโดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ว่า เอเชียกำลังยืนอยู่บนทางแยกแห่งประวัติศาสตร์ แม้จะเผชิญกับความท้าทาย แต่เอเชียก็มีข้อได้เปรียบอย่างมากในด้านประชากรและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ ด้วยประชากรกว่าครึ่งโลกที่อาศัยอยู่ในเอเชีย และจีนกับอินเดียเป็นหัวหอกแห่งการเติบโต อนาคตของทวีปนี้จึงเต็มไปด้วยโอกาสไร้ขีดจำกัด หากประเทศต่างๆ สามารถผนึกกำลังและใช้ประโยชน์จากความเชื่อมโยงและความร่วมมือร่วมกันได้
ดร.สุรเกียรติ์ชี้ให้เห็นว่า แรงงานของเอเชีย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 4.7 พันล้านคน เป็นพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “จากการศึกษาที่น่าเชื่อถือของธนาคารโลก ระบุว่า ระหว่าง พ.ศ. 2503-2561 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัวของประเทศในเอเชียเติบโตขึ้นกว่า 4,000%” คำกล่าวย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ผลักดันเอเชียขึ้นสู่เวทีเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้านี้มาพร้อมกับความท้าทายต่างๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ความไม่มั่นคงทางการเมือง และข้อพิพาททางพรมแดนที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้การบูรณาการระดับภูมิภาคเป็นเรื่องยาก คำถามที่ตามมาคือ เอเชียจะเปลี่ยนอุปสรรคเหล่านี้ให้เป็นโอกาสในการสร้างความร่วมมือพหุภาคีได้อย่างไร
พล.อ. ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ From Corridors to Connectivity: Thailand’s Approach to New Security Dynamics (จากระเบียงเศรษฐกิจสู่การเชื่อมต่อ: แนวทางของประเทศไทยต่อพลวัตความมั่นคงใหม่) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการยกระดับความเชื่อมโยงระหว่างประเทศ และปรับเปลี่ยนแนวคิดด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิมให้มุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือและความก้าวหน้าร่วมกัน
พล.อ. ทรงวิทย์ นำเสนอแนวคิด Interior Line of Connectivity ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางทหารที่เน้นย้ำถึงข้อได้เปรียบของการปฏิบัติการจากตำแหน่งศูนย์กลางที่เชื่อมโยงกัน โดยอธิบายว่า “ที่ตั้งของประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม เพราะเป็นสะพานเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก…ตำแหน่งที่ตั้งใจกลางนี้ช่วยลดเวลาในการปฏิบัติการเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือหรือตอบสนองต่อวิกฤต”
แนวทางนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการใช้ประโยชน์จากจุดแข็งทางวัฒนธรรมและโครงสร้างพื้นฐานของไทยด้วย การส่งเสริมความไว้วางใจและเปิดช่องทางการสนทนา จะช่วยให้ไทยเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำคัญในการขับเคลื่อนความเชื่อมโยงในภูมิภาค ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการนำทางยุคที่มีหลายขั้วอำนาจในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก
แนวทางนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ภูมิรัฐศาสตร์โลกกำลังเปลี่ยนแปลง พล.อ. ทรงวิทย์ กล่าวถึงความท้าทายที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคต้องเผชิญอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากการเคลื่อนไหวของมหาอำนาจ การเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกัน และภัยคุกคามรูปแบบใหม่จากเทคโนโลยีไซเบอร์และนิวเคลียร์
โลกที่เราอาศัยอยู่นี้กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วน การรบกวน และความขัดแย้ง แต่ทางออกไม่ได้อยู่ที่การแยกตัวออกจากกัน หากอยู่ที่การสร้างพันธมิตรพหุภาคีที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยข้ามพ้นเส้นแบ่งอำนาจแบบเดิมๆ
แนวคิดเรื่องความเชื่อมโยงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในด้านการทหารเท่านั้น เห็นได้จากความร่วมมือของไทยในการตอบสนองต่อภัยพิบัติและการจัดการวิกฤต ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเชื่อมโยงทุกภาคส่วน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะ
โครงการต่างๆ เช่น การอพยพประชาชนจำนวนมากออกจากเขตฉุกเฉินในฉนวนกาซา และปฏิบัติการช่วยเหลือเมื่อเกิดอุทกภัยในเชียงราย เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ กองกำลังทหาร และภาคประชาสังคม ที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้จริง
พล.อ. ทรงวิทย์ กล่าวว่า “สันติภาพและความมั่นคงถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คน” ซึ่งสื่อให้เห็นว่าความเชื่อมโยงที่แท้จริงไม่ใช่แค่การอยู่ใกล้กันบนแผนที่ แต่เป็นความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่ออนาคตที่มั่นคงและเจริญรุ่งเรือง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงมีอยู่ เช่น ภัยคุกคามที่ไม่ใช่รูปแบบดั้งเดิม เช่น เครือข่ายการฉ้อโกงและอาชญากรรมทางไซเบอร์ ในช่วงถามตอบจากเวทีเสวนา เมื่อมีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ลังเลที่จะยอมรับว่า “ขนาดและขอบเขตของปัญหาเกินความคาดหมายของเรา” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนากลไกที่สร้างสรรค์และครอบคลุมเพื่อต่อต้านระบบนิเวศอาชญากรรมที่ซับซ้อน
อีกหนึ่งคำถามสำคัญจากเวทีเสวนาคือ การรับมือกับยุค ‘ทรัมป์ 2.0’ ที่ความเป็นพหุภาคีลดลง และกระแสชาตินิยมเพิ่มสูงขึ้น พล.อ. ทรงวิทย์ ยืนยันว่า “เราไม่ควรละทิ้งพหุภาคี” แต่ได้มองเห็นอนาคตที่กรอบความร่วมมือแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบมินิเอเชีย ที่มุ่งเน้นในประเด็นเฉพาะด้าน เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีและความมั่นคงทางทะเล
มุมมองที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่ภูมิภาคกำลังพยายามสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์ทวิภาคีและกรอบพหุภาคีที่สอดคล้องกัน การประสานความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกอาเซียนจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น
ตลอดการเสวนา พล.อ. ทรงวิทย์ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนทนา การสื่อสาร การทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ และการดึงประชาชนและภาคประชาสังคมให้เข้าใจถึงพันธกิจของกองทัพมากยิ่งขึ้น
เขากล่าวว่า “ถ้าคุณต้องการไปให้เร็ว ไปคนเดียว แต่ถ้าคุณต้องการไปให้ไกล ต้องไปด้วยกัน” และย้ำว่าวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของไทยคือ การยอมรับการเปลี่ยนแปลง โดยการปรับเปลี่ยนเส้นทางเก่าๆ ให้กลายเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน โดยใช้ทั้งความเชี่ยวชาญทางทหารและความคิดสร้างสรรค์ของประชาชน
รศ. ดร.ภาวิกา ศรีรัตนบัลล์ ผู้อำนวยการสถาบันเอเชียศึกษาที่จัดงาน ASIA FORWARD SERIES ระบุว่า เป็นความมุ่งหวังที่จะสร้างองค์ความรู้ในประเด็นต่างๆ และเชื่อมโยงบริบทของเอเชียและประเทศไทย เพื่อให้คนไทยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้เข้าใจมากขึ้น