ต้องยอมรับว่าปัญหาการขาดความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นเป็นประเด็นที่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามหาทางออกจากหลายมาตรการ แต่ตลาดหุ้นถือว่ามีความเชื่อมโยงกับภาพเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด ดังนั้นจำเป็นต้องดำเนินการคู่ไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบขนานใหญ่ด้วย แต่จะต้องทำอย่างไร
ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่าตลาดหุ้นเปรียบเทียบเป็นเหมือนเป็น GPS ของเศรษฐกิจ เพราะจะมีการเคลื่อนไหวที่นำหน้าสะท้อนเศรษฐกิจ 6-12 เดือนเสมอ
สำหรับสถานการณ์หุ้นไทยที่ปัจจุบันตกต่ำลงค่อนข้างมากสะท้อนถึงปัจจัยความเชื่อมั่นและความกังวลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงปัจจัยภายนอกที่มีความกังวลจากตลาดหุ้นโลกที่ตกต่ำ
การผลิตภาคอุตสาหกรรมตกฉุดรั้งเศรษฐกิจไทย
สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 พบว่ามีปัญหาของประเด็นสินค้าคลัง โดยมีปัญหาโดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาวะตกต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจของไทย
ทั้งนี้ นับตั้งแต่หลังโควิดระบาดเป็นต้นมาภาคการผลิตยังไม่มีการฟื้นตัวเต็มที่ โดยมีอัตราการผลิตในปี 2567 ที่ติดลบในระดับ 5% โดยมีสัดส่วนสามในสี่ของอุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เท่ากับช่วงก่อนโควิดแพร่ระบาด
ขณะที่การใช้จ่าย ในด้านการบริโภคในช่วงไตรมาส 4/67 ที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปัจจุบันยังไม่มีการฟื้นตัวขึ้นมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากโครงการ Digital Wallet เฟส 1 มาแล้วก็ตาม
ด้านการบริโภคของสินค้าทั้งกึ่งคงทนและกลุ่มคงทนยังชะลอตัวหรือเติบโตค่อนข้างต่ำ โดยยอดขายรถยนต์ในปี 2567 ที่ผ่านมายังมีอัตราการเติบโตที่ติดลบ 4.2% ขณะที่ภาคบริการยังมีการเติบโตได้ประมาณ 7% และถือเป็นทิศทางที่มีการเติบโตที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่เคยเติบโตถึงระดับ 30-40%
ส่วนภาคการท่องเที่ยวตอนนี้เริ่มมีแนวโน้มลดลงขณะที่ประชาชนก็มีความกังวลต่อผิดในอนาคตทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยและลดลง
ขณะที่การลงทุนให้เอกชนยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับภาคการผลิตรวมถึง ภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้เอกชนไม่กล้าที่จะลงทุน
สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงโดย MLR หากดูเป็นรายไตรมาสอยู่ที่ระดับประมาณ 7% ซึ่งแม้จะลดลงบ้างหลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ย แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นภาพการลงทุนได้
นอกจากนี้ภาพการส่งออกที่มีทิศทางที่ดีในช่วงปลายปี 2567 นั้นมาจากปัจจัยที่มีการเร่งการส่งออกก่อนที่จะมีปัจจัยผลกระทบจากสถานการณ์สงครามทางการค้า (Trade War) ซึ่งขณะนี้ถือว่ามีผลกระทบแรงและเร็วกว่าที่คาด ดังนั้นจึงมีความกังวลว่าส่งออกที่เคยขยายเลขตัวได้ดีระยะต่อไปมีความเสี่ยงที่จะกลับมาติดลบได้อย่างรวดเร็วในอนาคต
ความเชื่อมั่นตลาดทุนไทยที่ตกต่ำ ยากที่จะฟื้นกลับมา
ดร.ปิยศักดิ์ กล่าวต่อว่า จากสถานการณ์ที่ความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยที่ต่ำ แม้ที่ผ่านมาจะมีการดำเนินมาตรการทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดทุน ก็ยังไม่สามารถดึง Tust and Confident ให้กลับมาได้ โดยที่ผ่านมามีมาตรการดังนี้
โดยหากแต่หากเปรียบเทียบมาตรการ Thai Individual Saving Account หรือ TISA ของไทย กับมาตรการ Nippon Individual Savings Account หรือ NISA ที่ญี่ปุ่นเคยนำมาใช้ก่อนหน้านี้ NISA ของประเทศญี่ปุ่นที่มีรายละเอียดครอบคลุมด้านเศรษฐกิจกับตลาดทุนมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับมาตรการ TISA ของไทย เพราะมาตรการอื่นๆ ของไทยยังไม่มีความชัดเจนออกมาเป็นรูปธรรมจึงยังไม่สามารถเรียกความเชื่อมั่นในตลาดกรุงไทยกลับมาได้
นอกจากมาตรการ NISA ของญี่ปุ่นจะดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการธนูสามดอก ซึ่งส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนในตลาดหุ้นโดยสิทธิประโยชน์ภาษีทั้งกำไรจากการลงทุน ปันผล และอื่นๆ
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวส่งผลให้จำนวนรายได้ของประเทศญี่ปุ่นมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งเป็นปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอื่นๆ ให้เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ขณะที่มาตรการ TISA ของไทยเป็นมาตรการเดียวที่อาจจะออกมาแต่ยังขาดแรงหนุนจากมาตรการทางการเงินทางและการคลัง ที่ยังออกมาไม่มีความต่อเนื่องและยังไม่มากเพียงพอดังนั้นถึงยากที่ได้ดึงดูดรายย่อยให้เข้ามา
เปรียบเทียบมาตรการ TISA vs. NISA
ข้อเสนอแนะดันเศรษฐกิจไทยกลับมาโต 4-4.5%
ดร.ปิยศักดิ์ มีข้อแนะนำว่าประเทศไทยมีปัญหาติดกับอยู่กับปัญหากับดักประเทศรายได้ปานกลางยาวนาน ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจ รวมถึงการเข้าสังคมสูงวัยมีการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพและระบบกฎหมายที่ไม่เอื้ออำนวย
ทั้งนี้ เห็นว่าจุดที่สำคัญหากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดจำเป็นจะต้องมี Engine of Growth ใหม่ คล้ายกับ Eastern Seaboard ในปี 2525 หลังจากมีการค้นพบก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยส่งผลให้การเติบโตเศรษฐกิจ
อีกทั้งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนโดยภาครัฐขนาดใหญ่และดึงดูดภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนเพิ่มเติม โดย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ เสนอให้มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่มูลค่า 4 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว โดยมีรายละเอียดโครงการดังนี้
คาดการณ์ผลต่อเศรษฐกิจและงบประมาณ
ดร.ปิยศักดิ์ กล่าวต่อว่า หากดำเนินมาตรการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวควบคู่กับมาตรการกระตุ้นตลาดทุนต่างๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างดำเนินการเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย รวมถึงการปรับปรุงยกระดับคุณภาพของบรรษัทภิบาลได้จะส่งผลบวกต่อตลาดทุนไทยให้โอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นเกินกรอบค่าเฉลี่ยในช่วง 10 ปีที่เคยวิ่งอยู่ในช่วงระหว่าง 1,200-1,800 จุดได้ อีกทั้งประเมินว่าจะมีผลบวกตามต่อตลาดหุ้นไทยดังนี้